บมจ.จีสตีล(GSTEEL)หาทางลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยอยู่ระหว่างหาเงินกู้ในรูปเงินบาทเพื่อนำไปไถ่ถอนหุ้นกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 170 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปีนี้ นอกจากนี้ ยังจะได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ขณะเดียวกันรายได้และกำไรสุทธิในไตรมาส 1/51 สูงกว่าไตรมาส 1/50 จากราคาขายเหล็กปรับตัวสูงขึ้น และยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอีก เตรียมขอกระทรวงพาณิชย์ขยายเพดานราคาเหล็กรีดร้อนชนิดม้วน ซึ่งใกล้ชนเพดาน
นายวิจิตร สุพินิจ ประธานกรรมการ GSTEEL กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทมีภาระหนี้จากการออกหุ้นกู้ 170 ล้านเหรียญสหรัฐ อัตราดอกเบี้ย LIBOR+4.5% ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนต.ค.53 แต่เนื่องจากขณะที่ออกหุ้นกู้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่ 41 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบันเงินบาทอยู่ที่ประมาณ 31.50 บาท/ดอลลาร์ หากสามารถชำระคืนได้ก่อนก็จะทำให้บริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
ทั้งนี้ เงื่อนไขของหุ้นกู้ดังกล่าวสามารถชำระคืนก่อนกำหนด หลังจากเดือนต.ค.51 ไปแล้ว
"เราอยากให้หาเงินกู้เป็นบาท ไม่ว่าจะมาจากแบงก์ไทยหรือแบงก์ต่างชาติ เพื่อลดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน นอกจากนี้ก็ยังได้ดอกเบี้ยถูกลงมาด้วย"นายวิจิตร กล่าว
ด้านนายสมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GSTEEL กล่าวว่า บริษัทพยายามขอกู้เงินในรูปเงินบาท แต่ทางธนาคารในประเทศยังไม่ค่อยมั่นใจในธุรกิจเหล็ก เนื่องจากในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 ธนาคารพาณิชย์ได้รับความเสียหายจากธุรกิจเหล็กประมาณ 3 แสนกว่าล้านบาท
"ผมอยากกู้เงินบาท แต่ธนาคารไม่คุย แต่ตอนนี้ภาพพจน์ธุรกิจเหล็กเปลี่ยนแปลงไป ตอนนี้เราก็กำลังแก้ไขอยู่ " นายสมศักดิ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากหุ้นกู้ดังกล่าวแล้ว บริษัทยังมี เงินกู้จากบริษัทย่อยที่บริษัทเข้าไปค้ำประกันจำนวน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ
*กำไร-รายได้ในQ1/51 ดีกว่า Q1/50
นายสมศักดิ์ ยังกล่าวว่า ทั้งรายได้และกำไรสุทธิในไตรมาส 1/51 ของบริษัทดีกว่าปีก่อนในไตรมาสเดียวกัน เพราะราคาเหล็กปรับตัวดีขึ้น และยังมีแนวโน้มปรับตัวต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ไตรมาส 1/50 บริษัทมีรายได้รวม 5.8 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 430 ล้านบาท
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า แม้ว่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมากในระยะนี้ แต่บริษัทไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะราคาขายในประเทศใช้ราคาอ้างอิงในตลาดโลก โดยบริษัทจะยังคงสัดส่วนการส่งออก 20% เท่ากับปีก่อน เพื่อติดตามภาพรวมธุรกิจเหล็กในตลาดต่างประเทศ
และในปีหน้า กำลังการผลิตของบริษัทจะเพิ่มเป็น 3.4 หมื่นล้านตัน จากปีนี้ที่มีกำลังการผลิต 1.8 ล้านตัน ก็จะส่งผลให้รายได้ของบริษัทในปีหน้าเพิ่มขึ้นเท่าตัว รวมทั้งมาร์จิ้นก็จะดีขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมขอกระทรวงพาณิชย์ปรับเพดานราคาขายเหล็กรีดร้อนจากการเศษเหล็กและเหล็กถลุง ราคาปรับตัวสูงขึ้น 500-600% ซึ่งบริษัทกำลังเตรีมข้อมูลชี้แจงต่อกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ เศษเหล็กหรือเหล็กถลุงคิดเป็นต้นทุนหลักที่มีสัดส่วน 70-80% ของต้นทุนรวม ส่วนค่าไฟฟ้าและค่าพลังงานคิดเป็น 10% ของต้นทุน
แหล่งข่าวจาก GSTEEL กล่าวว่าราคาเหล็ดรีดร้อนปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเดือนม.ค.51 ราคาอยู่ที่ 580 เหรียญ/ตัน และปรับขึ้นมาเป็น 800 เหรียญ/ตันในเดือนมี.ค. และขณะนี้ราคาปรับขึ้นไปแตะที่ระดับ 1 พันเหรียญ/ตันแล้ว โดยในไตรมาส 1/50 บริษัทยังมีสต็อกเหล็กเดิมอยู่ และเชื่อว่ามาร์จิ้นไม่น่าจะต่ำกว่าปีก่อนที่อยู่ระดับ 7%
อย่างไรก็ตาม ราคาเศษเหล็กและเหล็กถลุงก็ปรับขึ้นเช่นกัน โดยขณะนี้อยู่ที่ 650 เหรียญ/ตัน และ 730 เหรียญ/ตันตามลำดับ ทั้งนี้บริษัททยอยสต็อกเหล็กไว้ 2 เดือน
ส่วนราคาในประเทศขณะนี้อยู่ที่ 28-29 บาท/กก. ขณะที่ราคาเพดานอยู่ที่ 30.50 บาท/กก.
"บริษัทเตรียมข้อมูลขอขยายเพดานเพราะเห็นว่ามีแนวโน้มที่ราคาจะชนเพดาน ซึ่งขั้นตอนที่แจ้งกับกระทรวงพาณิชย์ก็ต้องยื่นข้อมูลต้นทุนที่เพิ่มขึ้นภายใน 7 วัน"นายสมศักดิ์ กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--