บมจ.ช.การช่าง (CK) นับงานเขื่อนหลวงพระบางเข้ามาเป็น Backlog แล้ว โดยมีมูลค่างาน 99,788 ล้านบาทและทำให้ Backlog ณ สิ้นไตรมาส 1/66 สูงถึง 149,000 ล้านบาท ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มอาจจะต้องรอการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ให้เรียบร้อยก่อนถึงจะมีโอกาสเซ็นสัญญาเข้ามา
บล.พาย เห็นว่า การเริ่มนับโครงการเขื่อนหลวงพระบางเข้ามาแล้ว จะทำให้หลังจากนี้จะมีการทยอยรับรู้รายได้ตามสัดส่วนงานที่สำเร็จอย่างต่อเนื่อง ทำให้รายได้ทั้งปีมีโอกาสออกมาสูงกว่าที่เคยประเมินไว้ บล.พาย จึงปรับรายได้ในปี 66 ขึ้นมา 37% จากที่เคยคาดไว้มาที่เป้าใหม่ 30,392 ล้านบาท (+68%YoY) ซึ่งเป็นภาพที่คล้ายกับตอนเริ่มงานเขื่อนไซยะบุรีในปี 55 ที่ทำให้รายได้ในปีนั้นเพิ่มขึ้นถึง 90% YoY และประเมินกำไรสุทธิใหม่ที่ 1,814 ล้านบาท (+64%YoY) เพิ่มจากเดิม 38%
ขณะที่ CK รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 217 ล้านบาท (+79%YoY, +94%QoQ) แต่ถ้าไม่รวมกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนก่อนภาษีเข้ามา 49 ล้านบาท จะมีกำไรปกติ 178 ล้านบาท (+47%YoY) พลิกจากขาดทุน 38 ล้านบาท ในไตรมาส 2/65 มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาหลังรับรู้รายได้จากโครงการเขื่อนหลวงพระบาง
ส่วนรายได้อยู่ที่ 9,425 ล้านบาท (+34%YoY,+140%QoQ) เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน โดยสาเหตุหลักมาจากรายได้ของโครงการเขื่อนหลวงพระบางที่สูงถึง 4,900 ล้านบาท ส่วนกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 7.1% ลดลงจาก 8.4% ในไตรมาส 1/65 และ 7.7% ในไตรมาส 4/65 ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารยังสูงที่ 495 ล้านบาท (+6%YoY,+3%QoQ)
อย่างไรก็ตาม ด้วยฐานรายได้ที่สูงทำให้ CK มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 174 ล้านบาท (+43%YoY) พลิกจากที่ขาดทุนจากการดำเนินงาน 178 ล้านบาทในไตรมาส 4/65
อีกทั้งส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมที่ 200 ล้านบาท (+139%YoY, 17%QoQ) เติบโตจากปีก่อนเพราะผลประกอบการ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ(BEM) ดีขึ้น ส่วนการลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าเพราะ บมจ.ซีเค พาวเวอร์ (CKP) มีผลขาดทุนสุทธิ
บล.พาย คงแนะ "ซื้อ" จากฐาน Backlog สูงจะหนุนให้รายได้กลับเข้าสู่ช่วงขาขึ้นได้อีกครั้ง