นายวาริช มีเหมือน ผู้จัดการฝ่ายการเงินและนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) คาดแนวโน้มยอดขายในครึ่งปีแรกของปี 66 จะทำได้ราว 5 พันล้านบาท จากที่ปัจจุบันอยู่ที่ 3.5 พันล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปีที่ 1.3 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทจะเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนการทำการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายให้เข้ามาเพิ่มมากขึ้น
สำหรับในไตรมาส 2/66 บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ มูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการแนวราบ 1 โครงการ มูลค่าราว 700 ล้านบาท อยู่ย่านราชพฤกษ์ และคอนโดมิเนียมแบรนด์ 168 ย่านรามอิทรา 1 โครงการ มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่ของ LPN ที่ทำเข้ามารุกตลาดในปีนี้ เพื่อให้เข้ากับคนรุ่นใหม่ ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถช่วยเข้ามาสร้างยอดขายได้มากขึ้น
ขณะที่แนวโน้มของการโอนโครงการส่วนใหญ่ในไตรมาส 2/66 คาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงกับไตรมาส 1/66 ที่ทำยอดโอนได้ราว 1.8 พันล้านบาท ซึ่งในช่วงไตรมาส 2/66 ยังไม่มีการโอนโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ ส่วนใหญ่จะทยอยโอนในช่วงปลายไตรมาส 3/66 และไตรมาส 4/66 ซึ่งส่วนใหญ่ยอดโอนที่เข้ามาจะมาจากโครงการแนวราบ โดยที่บริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่ 2.36 พันล้านบาท จะทยอยโอนในปี 66-67 และการขายโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ โดยที่ปัจจุบันบริษัทมีสต๊อกโครงการที่เหลือขายรวมทั้งสิ้น 8 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยขายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ ลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต - คลอง 1 ที่เใกล้หมดแล้ว เหลือขายในเฟส 3 เพียง 21%
"เรายังคงต้องเดินหน้าในการขับเคลื่อนการขายมากขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย ยอมรับว่าปัจจุบันการแข่งขันในธุรกิจอสังหาฯค่อนข้างสูง แต่เราก็ได้มีการปรับแบรนด์ ภาพลักษณ์ รวมถึงการปรับรูปแบบโครงการให้เข้ากับคนรุ่นใหม่มากขึ้น เพื่อทำให้ LPN สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน" นายวาริช กล่าว
อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงรักษาความสารมารถในการทำกำไรในระดับที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้นที่ตั้งเป้าไว้ที่ระดับ 23% ซึ่งในช่วงไตรมาส 1/66 ทำได้สูงกว่าเป้าที่ 24% จากการที่บริหารจัดการต้นทุนต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการที่บริษัทไม่มีการปรับลดราคาขาย ทำให้ความสามารถในการทำกำไรอยู่ในระดับที่บริษัทตั้งไว้
ขณะที่ในส่วนของแนวโน้มค่าแรงที่สูงขึ้นหากมีการปรับเพิ่มขึ้นมาเป็น 450 บาท/วัน จากนโยบายของแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มองว่าไม่มีผลกระทบต่อต้นทุนการพัฒนาโครงการของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ เพราะแรงงานที่ก่อสร้างมีการให้ค่าแรงที่สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำในปัจจุบันไปมากอยู่แล้ว ทำให้ในเรื่องค่าแรงไม่มีผลกระทบต่อการพัฒนาโครงการ แต่สิ่งที่บริษัทมองว่ายังมีความกังวลในเรื่องของความสามารถในการกู้สินเชื่อของลูกค้า จากที่ปัจจุบันหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับูง และธนาคารยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และค่าครองชีพที่สูง ส่งผลให้กำลังซื้อและความสามารถในการชำระหนี้ของลุกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ทำให้การของสินเชื่อยากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าเดิมของ LPN ที่มีรายได้ 20,000-30,000 บาท/เดือน ที่มีผลกระทบค่อนข้างมาก ซึ่งมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อ 30-40%
ทั้งนี้บริษัทยังคงเป้ายอดขายไว้ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท รายได้ที่ 7.6 พันล้านบาท ส่วนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ยังมั่นใจเปิดได้ตามแผนที่วางไว้ 17 โครงการ มูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท