นายณัฐพล วิมลเฉลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สยามราชธานี (SO) เปิดเผยว่า บริษัทได้ดำเนินการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนระยะยาวภายใต้กรอบงบประมาณ 1 พันล้านบาท เพื่อสร้างธุรกิจใหม่ (New S-Curve) ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทฯ ในระยะยาว ภายหลังจากได้ผนึกพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partner) ที่เข้ามาช่วยสร้างโอกาสในการขยายตลาดไปสู่กลุ่มลูกค้าในภาคอุตสาหกรรม
อีกทั้งบริษัทยังแสวงหาโอกาสภายใต้กลยุทธ์การควบรวมกิจการ (M&A) ในธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์โลกและส่งเสริมศักยภาพการดำเนินงานด้านOutsource และ Technology เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า และผลักดันบริษัทก้าวสู่การเป็น Tech Company
โดยบริษัทมีเป้าหมายมุ่งเน้นไปยัง 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจ Outsource เพื่อช่วยขยายขอบเขตการให้บริการของ SO โดยเฉพาะบุคลากรที่ต้องใช้ทักษะสูง เช่น โปรแกรมเมอร์ ช่างเทคนิค 2. ธุรกิจ Technology ที่ช่วยสร้างสรรคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ตอบโจทย์การให้บริการธุรกิจ Outsource และ 3. ธุรกิจ Professional Training ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มทักษะแรงงานตอบโจทย์อุตสาหกรรมแห่งอนาคตได้
"ที่ผ่านมา เราได้มีการหาโอกาสทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง มีการพูดคุยกับ Huawei ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกเพื่อวางโครงสร้างพื้นฐานทางด้านระบบ Cloud-based enterprise Software และมีการหาโอกาสด้าน Cyber Security และ Reskill Academy กับทางพาร์ทเนอร์ต่างๆ เช่น Bitkub เพื่อหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ก้าวสู่การเป็น Tech Company โดยเร็วๆ นี้ SO เริ่มมีรายได้จากการให้บริการ Outsourcing งานพัฒนา Software และ Cyber Security ซึ่งคาดว่าจะขยายผลไปให้บริการเทคโนโลยีอื่นๆ อีกในอนาคต" นายณัฐพล กล่าว
สำหรับแผนงานในครึ่งปีหลัง บริษัทได้เตรียมใช้งบ 200-300 ล้านบาท เพื่อลงทุนในธุรกิจกลุ่ม Fleet Management ยกระดับการให้บริการเช่ารถยนต์พร้อมเทคโนโลยี รวมถึงบริการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV (Electric Vehicle) ในการขนส่งและการโดยสารในนิคมอุตสาหกรรมตอบสนองนโยบาย Carbon Neutrality ในภาคอุตสาหกรรม พร้อมระบบบริการแอปพลิเคชันสำหรับเช่ารถ (Vehicle Management Service) ให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูลการใช้รถยนต์รวมถึงการจัดการข้อมูลรถยนต์ และอัปเดตข้อมูลต่างๆ แบบเรียลไทม์จบภายในแอปเดียว
ทั้งนี้ SO ได้มีการทรานฟอร์ม (Transform) จากการเป็นบริษัทที่ส่งมอบพนักงานไปสู่บริษัทที่ส่งมอบกระบวนการและเทคโนโลยี โดยการจัดหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริการ Outsource เพื่อ Digitize กระบวนการต่างๆ เกิดเป็นข้อมูลเพื่อนำไปวิเคราะห์และพัฒนากระบวนการให้รวดเร็วขึ้น มีต้นทุนต่ำลง และวัดผลได้ นอกจากนี้ ยังมีการนำเอาเทคโนโลยี AI หรือปัญญาประดิษฐ์ มาช่วยเติมเต็มความสามารถในการวิเคราะห์และตัดสินใจ รวมถึงทดแทนกระบวนการทำงานซ้ำซ้อนและไม่จำเป็น อีกทั้งยังส่งเสริมและสนับสนุนให้บริการ Outsource ให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อผลักการดำเนินงานในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมา
โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/66 ทำรายได้รวม 592 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 45 ล้านบาท รายได้และกำไรสุทธิเติบโต 6.71% และ 15.84% ตามลำดับเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยอยู่ระหว่างการเจรจากับคู่สัญญาเพิ่มเติมอีกมูลค่า 500 ล้านบาท และมั่นใจว่ารายได้ทั้งปีจะเติบโตที่ 15% อย่างแน่นอน