นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (SCG Decor) และ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสซีจี เซรามิกส์ (COTTO) เปิดเผยว่า ผู้ถือหุ้น COTTO ได้ลงมติอนุมัติในที่ประชุมวิสามัญวานนี้ให้เพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ตามแผนการร่วมปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อให้ SCG Decor เป็นบริษัทแกนหลักในการดำเนินธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ของเอสซีจีที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพียงบริษัทเดียว
โดยในการประชุมดังกล่าวผู้ถือหุ้น COTTO ได้แสดงความเชื่อมั่นและสนับสนุน ด้วยการลงมติอนุมัติกว่าร้อยละ 87 ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท และไม่มีผู้ถือหุ้นคัดค้านเกินกว่าร้อยละ 10 ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ซึ่งผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้
"ผู้ถือหุ้น COTTO ให้ความเชื่อมั่นอนุมัติการเพิกถอนหลักทรัพย์ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อปรับโครงสร้าง และคาดหวังว่าผู้ถือหุ้น COTTO จะตอบรับคำเสนอซื้อหุ้นจาก SCG Decor เพื่อร่วมเติบโตไปด้วยกัน ก้าวไปเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่มีศักยภาพเพิ่มขึ้น เพื่อโอกาสขยายตลาดระดับภูมิภาคอาเซียนที่ใหญ่ขึ้น โดยในวันนี้เมื่อ COTTO ได้รับมติอนุมัติจากผู้ถือหุ้นแล้วจะดำเนินการปรับโครงสร้าง ร่วมกับ SCG Decor และเตรียมการเพื่อนำ SCG Decor เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป" นายนำพล กล่าว
สำหรับผู้ถือหุ้น COTTO ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหุ้นจาก SCG Decor จะเปลี่ยนสถานะจากเป็นผู้ถือหุ้น COTTO มาเป็นผู้ถือหุ้นของ SCG Decor ที่มีธุรกิจกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ COTTO , บริษัท สยามซานิทารีแวร์ จำกัด (SSW) , Prime Group ในประเทศเวียดนาม, Mariwasa-Siam Ceramics, Inc (MSC) ในประเทศฟิลิปปินส์, PT Keramika Indonesia Assosiasi, Tbk (KIA) ในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีประชากร 276 ล้านคนสูงสุดในอาเซียน และบริษัท นอริตาเก้ เอสซีจี พลาสเตอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายกาวขึ้นรูปสำหรับวัสดุก่อสร้างและผลิตภัณฑ์กาวและซิลิโคนยาแนว
จากการผสานพลังระหว่างบริษัทในกลุ่ม จะทำให้ SCG Decor ยกระดับเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทชั้นนำในธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจรในภูมิภาคอาเซียนที่มีโอกาสขยายตลาดในระดับภูมิภาคที่ใหญ่ขึ้นและสามารถเพิ่มศักยภาพธุรกิจให้สูงขึ้นในหลากหลายด้าน ได้แก่
1) ยอดขายเพิ่มขึ้น 2.3 เท่า จาก 13,224 ล้านบาท เป็น 30,886 ล้านบาท ในปี 2565 และกำไรสุทธิในส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัท (ไม่รวมรายการพิเศษ) เพิ่มขึ้น 2.6 เท่า จาก 449 ล้านบาท เป็น 1,163 ล้านบาท ในปี 2565
2) ตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้น จากประเทศไทยที่มีประชากรรวม 71.7 ล้านคนไปสู่ตลาดในประเทศไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ที่มีประชากรรวมกว่า 560 ล้านคน
3) กำลังการผลิตในธุรกิจตกแต่งพื้นผิวเพิ่มขึ้นจาก 80 ล้านตารางเมตรต่อปีในประเทศไทย เป็น 187.2 ล้านตารางเมตรต่อปี ในประเทศไทย เวียดนาม ฟิลลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
4) ช่องทางจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น 9 เท่า จาก 1,200 ราย เป็นกว่า 10,000 ราย
5) ร้านค้าปลีกเพิ่มขึ้นจาก 103 ร้านในประเทศไทย เป็น 142 ร้านในประเทศไทย ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย
และ 6) สินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้น 3.6 เท่า จาก 11,310 ล้านบาท เป็น 40,576 ล้านบาท
โดย SCG Decor มีแผนที่จะผสานพลังระหว่างบริษัทในกลุ่ม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพบริหารต้นทุนและมุ่งสู่ผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจรในอาเซียน ภายใต้ 5 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1) การขยายธุรกิจสุขภัณฑ์เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียน 2) การต่อยอดความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำด้านธุรกิจตกแต่งพื้นผิว (Decor Surfaces) ในประเทศไทย และมุ่งสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจตกแต่งพื้นผิว (Decor Surfaces) ในภูมิภาคอาเซียน โดยการประยุกต์ใช้โมเดลธุรกิจที่เข้มแข็งของประเทศไทย
3) การขยายธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านการให้บริการแบบครบวงจรในธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ (Decor Surfaces and Bathroom) 4) การบริหารห่วงโซ่อุปทาน ทั้งด้านการผลิต และการจัดหาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างรายได้และศักยภาพในการทำกำไร และ 5) การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์รักษ์โลก ตลอดจนกระบวนการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมภายใต้มาตรฐานระดับโลก
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 มี.ค.66 SCG Decor ประกาศทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ COTTO จากผู้ถือหุ้นทุกรายที่ตอบรับคำเสนอซื้อดังกล่าว ในราคา 2.40 บาทต่อหุ้น โดยจะชำระค่าหุ้นเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SCG Decor ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับการเสนอขายหุ้น IPO ของ SCG Decor โดยภายหลังการทำคำเสนอซื้อหุ้นสิ้นสุด COTTO จะถูกเพิกถอนหลักทรัพย์ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ
ปัจจุบัน SCG Decor กำลังอยู่ในระหว่างการเตรียมยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.)
"การเดินหน้าระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเพิ่มความแข็งแกร่งแก่ เอสซีจี เดคคอร์ เพื่อรองรับแผนงานขยายธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจรในระดับอาเซียน ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและเศรษฐกิจเติบโตได้ดี โดยมั่นใจว่าด้วยความแข็งแกร่งของเอสซีจี เดคคอร์ จากการการเป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน เมื่อผสานพลังกันระหว่างบริษัทในเครือจะสร้างเติบโตอย่างมั่นคงและประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย" นายนำพล กล่าว