นางวิไลวรรณ กาญจนกันติ รองประธานจ้าหน้าที่บริหารด้านบริหารการเงิน บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจผลการดำเนินงานปี 66 จะเติบโตดีกว่าปีก่อนอย่างแน่นอน โดยปี 65 มีรายได้ 793,418.24 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 10,370.40 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 1/66 ทำรายได้แล้ว 198,675.44 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,975.01 ล้านบาท รับอานิสงส์การเปิดประเทศช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
อ้างอิงข้อมูลจาก IMF คาดการณ์ว่าปี 66 เศรษฐกิจโลก (GDP) จะขยายตัว 2.8% จากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งหนุนการบริโภค และการเปิดประเทศของจีนช่วยหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเอเชีย ขณะที่เศรษฐกิจไทยก็ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่องราว 2.7-3.7% โดยหลักมาจากภาคการท่องเที่ยว โดยคาดจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 28 ล้านคน ซึ่งจะเป็นแรงหนุนต่อเนื่องไปยังภาคบริโภคของภาคเอกชนที่คาดจะเติบโต 3-4% รวมถึงการส่งออกเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวจากที่เคยหดตัวไปในช่วงก่อนหน้า ทำให้มองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยน่าจะเห็นความชัดจนได้ในครึ่งปีหลังนี้เป็นต้นไป
อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อของไทยกลับมาอยู่ในกรอบเป้าหมาย หลังผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในช่วงปลายปี 65 โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อปีนี้จะอยู่ที่ 2.9% ตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลง และมาตรการอุดหนุนพลังงานที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เหลือของปีนี้ OR ยังต้องติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่อง เนื่องด้วยคาดว่ายังมีแนวโน้มปรับตัวลง จากความกังวลต่อเศษฐกิจถดถอย และความตึงเครียดทางการเมือง ซึ่งทางกลุ่ม ปตท. ได้ประมาณการน้ำมันดิบดูไบปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 80-86 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ในส่วนของค่าเงินบาท คาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนจะอยู่ที่ 32-34 บาท/ดอลลาร์ ภาพรวมยังมีแนวโน้มผันผวนตามนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ยังต้องติดตามกันต่อไป และสถานการณ์การเงินโลกที่มีความผันผวนจากปัญหาสถาบันการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลักของโลก
นางวิไลวรรณ กล่าวว่า สำหรับค่าการตลาดในไตรมาส 2/66 คาดว่าจะดีกว่าไตรมาสแรก หรืออยู่ในกรอบ 0.70-1.30 บาท/ลิตร จากปัจจุบันราคาน้ำมันเป็นขาลง แรงกดดันต่างๆ น้อยลง ทำให้สามารถรักษาระดับมาร์เก็ตติ้งมาร์จิ้นได้ในระดับเหนือกว่า 1 บาทได้
พร้อมกันนี้บริษัทยังคงเดินหน้าขยายสาขา PTT station ตามแผน โดยตั้งเป้าขยายปีละ 100 สถานี จากไตรมาส 1/66 มีการขยายไปแล้ว 5 สถานี เหลืออีก 95 สถานี คาดจะขยายสาขาเพิ่มมากขึ้นได้ในครึ่งปีหลังนี้
ส่วนนโยบายปรับขึ้นค่าแรงของรัฐบาลชุดใหม่ มองว่าการปรับขึ้นค่าแรงน่าจะกระทบกับภาคธุรกิจไม่มากก็น้อย แต่สำหรับบริษัทฯ เนื่องจากภาพรวมการจ้างงานของ OR ไม่ได้ให้ค่าแรงขั้นต่ำต่อวันในการจ้างงานอยู่แล้ว ดังนั้นการขึ้นค่าแรงคงมีผลกระทบบ้าง แต่ยืนยันว่ายังสามารถบริหารจัดการได้ และผลกระทบจะมีไม่มาก