นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ (CI) เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมมือกับ บมจ.วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ และ บริษัท ไอเอฟซีจี จำกัด ในการขยายช่องทางการขายโครงการของบริษัทผ่านโบรกเกอร์และเอเจนซี่ เพื่อขยานฐานลูกค้าใหม่ๆทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้ารายใหญ่
ทั้งนี้ วี บียอนด์ และ ไอเอฟซีจี มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว ซึ่งบริษัทจะร่วมมือกับทั้ง 2 พันธมิตรในการนำโครงการของบริษัท ได้แก่ คอนโดมิเนียม บลู แซฟไฟร์ จำนวน 30-40 ยูนิต และโครงการ ดิ อิสสระ เชียงใหม่ จำนวน 100 ยูนิต ที่คัดสรรยูนิตที่ดีและมีคุณภาพมาขายให้กับลูกค้าผ่านช่องทางของพันธมิตรทั้ง 2 ราย
ขณะเดียวกันยังเป็นการเจาะกลุ่มนักลงทุนรายใหม่ ซึ่ง วี บียอนด์ และไอเอฟซีจี มีฐานลูกค้ากลุ่มนักลงทุนผ่านโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนที่จะเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า ทำให้มีความน่าสนใจในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น และช่วยขับเคลื่อนการขายให้กับบริษัท ไม่เป็นการขายแข่งกัน หรือแย่งลูกค้าค้ากัน
"การร่วมมือกับพันธมิตรทั้ง 2 ราย จะมีส่วนช่วยทำให้ยอดขายโครงการของบริษัทที่มีพันธมิตรทั้ง 2 รายเข้ามาร่วมเป็นช่องทางการขายเพิ่มขึ้นได้ราว 10%
ส่วนการเปิดโครงการใหม่ในปี 66 เบื้องต้นบริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมราว 3 โครงการ มูลค่า 3-4 พันล้านบาท มีทั้งโครงการในกรุงเทพฯ ย่านกรุงเทพกรีฑา ภูเก็ต และหัวหิน
ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังของปี 66 จะเห็นการฟื้นตัวของผลการดำเนินงาน จากการที่มีการโอนโครงการคอนโดมิเนียม ดิ อิสสระ สาทร และโครงการบ้าน ดิ อิสสระ พระราม 9 และดิ อิสสระ บางนา เข้ามาในครึ่งปีหลัง โดยที่บริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ราว 2 พันล้านบาท คาดว่าจะรับรู้ในปี 66 ราว 1 พันล้านบาท
สำหรับธุรกิจโรงแรมของบริษัทในหัวหินและภูเก็ต มีการกลับมาฟื้นตัวที่โดดเด่น จากการที่มีนักท่องเที่ยวกลับมามากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้คาดว่าในไตรมาสที่ 2/66 ตัวเลขอัตราการเข้าพัก (OCC) จะเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 70-80%
นายวรเดช รุกขพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ กล่าวว่า CI เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียง ทำให้บริษัทมีความมั่นใจในการร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อนำโครงการของ CI มานำเสนอและขายให้กับลูกค้าของวี บียอนด์ ผ่านแพลตฟอร์มของบริษัท ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้ารายย่อยได้ในวงกว้าง และสามารถช่วยชาญอิสสระในด้านงานขายได้อย่างดี
ผลตอบแทนที่บริษัทจะได้รับแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. ค่าคอมมิชชั่นจากการเป็นนายหน้าขายอสังหาริมทรัพย์ในช่วงพรีเซล และ 2. กำไรส่วนต่างจากราคาขายในส่วนของโครงการพร้อมอยู่ ซึ่งจะซื้อมาขายต่อให้กับลูกค้าในแพลตฟอร์มของบริษัท
นายวิทูร เลิศพนมวรรณ บริษัท ไอเอฟซีจี จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือกับ CI เป็นโอกาสนำโครงการที่มีคุณภาพมีชื่อเสียง และสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีมานำเสนอกับกลุ่มลูกค้านักลงทุนรายใหญ่ของไอเอฟซีจีที่มีฐานกว่า 5 หมื่นราย ซึ่งเป็นนักลงทุนชาวไทยเกือบทั้งหมด คาดว่าจะช่วยในการสร้างผลตอบแทนให้กับไอเอฟซีจี 7-8%
ขณะเดียวกันจากชื่อเสียงของ CI ในด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยและโรงแรมในหัวหินและภูเก็ต จะช่วยให้ไอเอฟซีจี สามารถต่อยอดในการขยายฐานลูกค้าต่างชาติได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายของไอเอฟซีที่ต้องการเพิ่มลูกค้าต่างชาติเข้ามา โดยจะเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าจีน รัสเซีย ญี่ปุ่น อังกฤษ และยุโรป เป็นต้น