บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันพุธที่ 31 พ.ค.66 ได้มีมติอนุมัติแผนการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (Initial Public Offering หรือ IPO) ของ SCGD และการนำหุ้นสามัญของบริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (SCGD)เข้าจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในรูปแบบบริษัทที่ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยกำหนดสัดส่วนจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก เป็นจำนวนไม่เกิน 26.83% ของทุนชำระแล้วของ SCGD
ทั้งนี้ภายหลังการเพิ่มทุนและการเสนอขายหุ้น IPO คาดว่า SCGD จะนำเงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้น IPO เพื่อใช้ลงทุนในการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ใช้ในการปรับโครงสร้างทางการเงิน ชำระหนี้บางส่วนของ SCGD และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของ SCGD รวมถึงวัตถุประสงค์อื่น ๆ โดยภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO บริษัทฯ จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่และเป็นผู้มีอำนาจควบคุมของ SCGD และ SCGD จะยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ เช่นเดิม
บอร์ด SCC อนุมัติการแปรสภาพ SCGD ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ เป็นบริษัทมหาชนจำกัดตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.2535 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) และอนุมัติเรื่องต่าง ๆ ที่จำเป็นและเกี่ยวข้องกับแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งรวมถึงเรื่องดังต่อไปนี้
- การเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของ SCGD และจำนวนหุ้นสามัญของ SCGD เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (การแตกพาร์) โดยการแตกพาร์นี้จะไม่ทำให้จำนวนทุนจดทะเบียนของ SCGD เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด
- การเพิ่มทุนจดทะเบียนของ SCGD จำนวน 4,441,000,000 บาท จากเดิมจำนวน 12,109,000,000 บาท เป็นจำนวน 16,550,000,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 444,100,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เพื่อเสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก
- การจัดสรรหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 444,100,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เพื่อเสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (Initial Public Offering:IPO) ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ (Pre-emptive Right) ผู้ลงทุนหลักโดยเฉพาะเจาะจง (Cornerstone Investors) รวมถึงการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายต่อผู้จัดหาหุ้นส่วนเกิน (Over-Allotment Agent) (ถ้ามี) และผู้ถือหุ้นของบมจ.เอสซีจี เซรามิกส์ (COTTO) เพื่อชำระเป็นค่าตอบแทนในการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ COTTO ตามแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจของ SCGD ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติแผนปรับโครงสร้างดังกล่าว เมื่อวันที่ 29 มี.ค.2566 รวมทั้ง เพื่อเป็นการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นของ COTTO ที่ประสงค์จะจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ให้คณะกรรมการบริษัทของ SCGD สามารถนำหุ้นสามัญเพิ่มทุนบางส่วน เพื่อเสนอขายและจัดสรรให้แก่ผู้ลงทุนหลักโดยเฉพาะเจาะจง (Cornerstone Investors) ในระหว่างการเสนอขายหุ้น IPO ตามที่คณะกรรมการบริษัทของ SCGD เห็นสมควร ในราคาเดียวกับที่จะเสนอขายประชาชนเป็นครั้งแรกตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
ปัจจุบัน บริษัท กระเบื้องกระดาษไทย จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 100% หลังขายหุ้น IPO สัดส่วนถือหุ้นจะลดลงไม่ต่ำกว่า 73.17%
ในปี 64-65 มีรายได้จากการขาย 25,937 ล้านบา และ 30,254 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,402 ล้านบาท และ 643 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนในไตรมาส 1/66 มีรายได้จากการขาย 7,227 ล้านบาท กำไรสุทธิ 113 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 1/65 มีรายได้จากการขาย 7,143 ล้านบาท กำไรสุทธิ 369 ล้านบาท
สิ้นไตรมาส 1/66 มีสินทรัพย์รวม 40,582 ล้านบาท หนี้สินรวม 21,150 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 19,432 ล้านบาท