หุ้นบมจ. สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) จะกลับมาเทรดชั่วคราว ตั้งแต่ 1-30 มิ.ย.66 หลังถูกแขวน SP นาน 3 เดือน (ตั้งแต่ 1 มี.ค.66) ท่ามกลางความไม่แน่นอน หลังบริษัทเลื่อนการส่งงบการเงินปี 65 มาหลายครั้ง โบรกเกอร์มองว่า หุ้น STARK น่าจะมีแรงเทขายตั้งแต่วันแรกที่กลับมาเทรด และกลุ่มบัญชีมาร์จิ้นน่าจะถูกบังคับขายด้วย เพราะอนาคต STARK ไม่แน่นอน ปัญหางบการเงินและฐานะการเงินที่ยังรอการตรวจสอบพิเศษ(Special Audit) ที่ก.ล.ต.ขีดเส้น 15 มิ.ย.นี้ จึงไม่แนะนำเข้าลงทุน
ราคาปิดก่อนขึ้น SP อยู่ที่ 2.38 บาท (ณ 28 ก.พ.66)
นักวิเคราะห์บล.พาย กล่าวว่า การกลับมาซื้อขายชั่วคราวของ STARK ในวันพรุ่งนี้ (1 มิ.ย. 66) ในช่วง 1-30 มิ.ย. 66 ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯจะปลดเครื่องหมาย SP และให้ซื้อขายชั่วคราว มองว่ายังมีความเสี่ยง จากความไม่แน่นอนของการส่งงบการเงินปี 65 จะสามารถส่งได้ทันกำหนดหรือไม่ รวมถึงความไม่แน่นอนว่าในช่วงต่อไป STARK จะเป็นอย่างไร หากครบกำหนดให้ซื้อขายชั่วคราวแล้ว กลับมาติดเครื่อง SP อีก ซึ่งค่อนข้างมีความเสี่ยง
ทำให้อาจจะเผชิญแรงขายกดดันในช่วงกลับมาซื้อขายพรุ่งนี้ รวมถึงในช่วงที่มีการซื้อขายชั่วคราว หากยังไม่มีความชัดเจนของการส่งงบการเงินปี 65 และยังไม่แนะนำให้นักลงทุนเข้าลงทุน เพราะยังมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก
นักวิเคราะห์บล.บัวหลวง กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ (1 มิ.ย. 66) หุ้น STARK จะถูกปลดเครื่องหมาย SP และมีการซื้อขายชั่วคราว (1-30 มิ.ย. 66) โดยที่ยังต้องระมัดระวังการลงทุน จากความไม่ชัดเจนในเรื่องของการส่งงบการเงินปี 65 ว่าจะสามารถส่งได้ตามกำหนดหรือไม่ รวมถึงปัญหาอื่นๆของบริษัทที่เผชิญอยู่ ทำให้มองว่าอาจจะมีแรงขายออกมากดดันหุ้นอาจปรับตัวลงในวันที่กลับมาซื้อขายชั่วคราวในวันพรุ่งนี้ และยังไม่แนะนำให้เข้าลงทุน จากความไม่ชัดเจนของเรื่องการส่งงบการเงิน
บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุความเห็นเกี่ยวกับหุ้น STARK ในวันพรุ่งนี้ (1 มิ.ย. 66) จะกลับมาซื้อขายชั่วงคราว ทิศทางราคาหุ้นคาดว่าจะปรับตัวลงต่อเนื่องหลายวันติดต่อกัน เนื่องจากความกังวลเรื่องงบการเงินและฐานะการเงิน รวมถึงจะมีแรงเสริมจากบัญชีมาร์จิ้นที่มีความจำเป็นต้องขาย เป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นร่วงลง
วานนี้ (30 พ.ค.) นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STARK ระบุว่า ในการการกลับมาเทรดของ STARK อีกครั้งในช่วงวันที่ 1-30 มิ.ย.ที่ตลาดหลักทรัพย์เปิดให้ซื้อขายได้หลังจากขึ้น SP ยาวนั้น นายวนรัชต์ ยืนยันว่าจะไม่ขายหุ้นออกอย่างแน่นอน เพราะมีความตั้งใจที่จะเข้ามาบริหารงานใน STARK อย่างเต็มที่
นอกจากนี้ กองทุนในประเทศและกลุ่มสถาบันต่างประเทศที่ได้ซื้อหุ้นเพิ่มทุน STARK เมื่อปลายปี 65 ก็ต้องจับตาดูว่าจะมีการขายออกมาหรือไม่
STARK ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยมีบริษัทย่อยเป็นผู้ประกอบกิจการรายใหญ่ในการผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล อีกทั้งยังมีประสบการณ์ในธุรกิจสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลมามากกว่า 50 ปี นอกจากธุรกิจสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล STARK ยังมีบริษัทย่อยที่ประกอบกิจการให้บริการด้านทรัพยากรบุคคล
เมื่อปลายปี 65 ผู้ถือหุ้นได้อนุมัติให้ STARK เข้าซื้อหุ้นใน LEONI Kabel GmbH และ LEONIsche Holding Inc ในสัดส่วน 100% มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 560.00 ล้านยูโร (หรือประมาณไม่เกิน 20,572.89 ล้านบาท) โดย LEONI เป็นผู้นำด้านสายไฟ Automotive & EV อันดับ 1 ของโลก ประสบการณ์ยาวนานและฐานลูกค้าTier 1 & Tier 2 ที่แข็งแกร่งทั่วโลก
พร้อมกันนี้ มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจำนวน 1,500 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 15,875,206,607 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 17,375,206,607 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 1,500 ล้านหุ้น (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท)
และมีมติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทเพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ทั้งกลุ่มผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ
แต่ต่อมา บริษัทยกเลิกการเข้าซื้อกิจการ LEONI โดยอ้างมีโรงงานในโปแลนด์และสโลวาเกียซึ่งเป็นพื้นที่ที่อาจรับผลกระทบภาวะสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน และต่อมาก็ไม่สามารถส่งงบการเงินปี 65 ได้ตามกำหนด จนตลาดหลักทรัพย์ฯสั่งห้ามการซื้อขาย (SP) และนำหุ้น STARK ออกจากการคำนวณดัชนี SET100