STARK กลับมาเปิดเทรดวันแรกร่วง 89.08% หรือลดลง 2.12 บาท มาอยูที่ 0.26 บาท มูลค่าซื้อขาย 212.94 ล้านบาท เมื่อเวลา 9.58 น. จากราคาเปิด 0.25 บาท ราคาต่ำสุด 0.23 บาท ราคาสูงสุด 0.33 บาท โดยราคา STARK วันสุดท้ายก่อนขึ้น SP (28 ก.พ.66) อยู่ที่ 2.38 บาท
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เปิดให้ซื้อขายหุ้น STARK ชั่วคราว หลังถูกสั่งห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ครบ 3 เดือนในวันที่ 31 พ.ค.ค. 66 เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายได้ ก่อนที่หลักทรัพย์ STARK จะถูกหยุดพักการซื้อขายต่อ โดยจะเปิดให้ซื้อขายเป็นเวลา 1 เดือน ระหว่างวันที่ 1 - 30 มิถุนายน 2566 โดยกำหนดให้การซื้อขายหลักทรัพย์ STARK ในวันแรก (1 มิ.ย.66) มีราคาสูงสุดและต่ำสุด (Ceiling & Floor) ไม่เกินหนึ่งเท่าจากราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย และซื้อด้วยบัญชี Cash Balance กล่าวคือ ผู้ซื้อต้องชำระเงินทั้งจำนวนก่อนการซื้อหลักทรัพย์
บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ระบุว่า STARK จะกลับมาทำการซื้อขายเป็นเวลา 1 เดือน หลังถูกพักการซื้อขายครบ 90 วัน จากประเด็นไม่สามารถนำส่งงบการเงิน ทำให้ตลาดหลักทรัพย์จะเปิดให้มีการซื้อขายชั่วคราว 30 วัน (1-30 มิ.ย.) เรามีมุมมองเป็นลบต่อหุ้นที่จะกลับเข้าทำการซื้อขาย เนื่องจาก
1) การชี้แจงสาธารณะ (Public presentation) เมื่อ 30 พ.ค. ที่ผ่านมา ผู้บริหารไม่สามารถชี้แจงได้ในหลายจุด อาทิ อนาคตของธุรกิจ, จำนวนเงินเพิ่มทุนที่เหลือ (เนื่องจากไม่ได้นำไป1.ซื้อกิจการตามแผน)
2) การประชุมผู้ถือหุ้นกู้ 31 พ.ค. มีหุ้นกู้บางชุด ไม่อนุมัติยกเว้นเหตุผิดนัดชำระ (จากการไม่ส่งงบการเงินตามกำหนด) ทำให้บริษัทจะถูกเร่งให้ชำระคืนหนี้ ซึ่งต้องติดตามว่าจะเกิดการ cross default (การผิดนัดชำระหนี้ของหุ้นกู้บางส่วน ที่ trigger ให้หุ้นกู้อื่นที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ สามารถเรียกร้องให้ชำระคืนเงินกู้) 3
3) มุมมองของนักลงทุนสถาบัน ซึ่งหากคณะกรรมการลงทุน (Investment committee) มีการปรับหุ้น STARK ออกจากหุ้นที่สามารถลงทุนได้ อาจทำให้เกิดแรงเทขาย
ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) แจ้งว่าขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลผลการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ของ STARK โดยที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้หมายเลข STARK239A และ STARK249A เงินต้นค้างชำระรวม 2,241 ล้านบาทมีมติไม่ยกเว้นเหตุผิดนัดและใช้สิทธิเรียกให้ชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยภายใต้หุ้นกู้โดยพลัน และก่อให้เกิดเหตุผิดนัดไขว้ (cross default) ภายใต้สัญญาทางการเงินอื่น ๆ
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ลงทุนติดตามและศึกษาข้อมูลดังกล่าวเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาตัดสินใจลงทุนและขอให้ใช้ความระมัดระวังในการซื้อขายหลักทรัพย์