นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าดัชนีรีบาวด์ตาม Sentiment ของตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวขึ้น จากความคลายกังวลการขยายเพดานหนี้สหรัฐหลังจากผ่านการโหวตของสภาล่างไปแล้ว รวมถึงการรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐเมื่อคืนนี้ ต้นทุนแรงงานมีการชะลอตัวลง ทำให้มีการคาดการณ์ว่าการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีโอกาสคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมกลางเดือนมิ.ย.นี้
อย่างไรก็ตามมองว่ายังคงมีกดดันจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่กดดันดัชนี ซึ่งยังคงต้องรอปัจจัยการเมืองในประเทศมีความชัดเจน ทำให้ดัชนีจะแกว่งตัวในกรอบจำกัด ส่วนตลาดหุนอื่นในภูมิภาคเอเชียเปิดมาเช้านี้ปรับตัวขึ้น
โดยให้แนวต้าน 1,535 จุด แนวรับ 1,510 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (1 มิ.ย.66)ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,061.57 จุด เพิ่มขึ้น 153.30 จุด หรือ +0.47%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,221.02 จุด เพิ่มขึ้น 41.19 จุด หรือ +0.99% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,100.98 จุด เพิ่มขึ้น 165.70 จุด หรือ +1.28%
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดภาคเช้าที่ระดับ 18,566.81 จุด เพิ่มขึ้น 349.9 จุด หรือ +1.92% ก่อนพุ่งขึ้นถึง 2% ในเวลาต่อมา ขณะที่ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตเปิดเช้าที่ระดับ 3,212.45 จุด เพิ่มขึ้น 7.82 จุด หรือ +0.24% และดัชนีนิกเกอิเปิดเช้าที่ระดับ 31,300.72 จุด เพิ่มขึ้น 152.71 จุด หรือ +0.49%
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (1 มิ.ย.66) 1,521.40 จุด ลดลง 12.14 จุด (-0.79%) มูลค่าการซื้อขาย 48,244.01 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,961.40 ล้านบาท เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.66
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.(1 มิ.ย.)เพิ่มขึ้น 2.01 ดอลลาร์ หรือ 2.95% ปิดที่ 70.10 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (1 มิ.ย.) อยู่ที่ 4.69 เหรียญ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 34.60 แนวโน้มแข็งค่ารับดอลลาร์อ่อน หลังคาดเฟดแนวโน้มคงดอกเบี้ย
- ภาคเอกชนประสานเสียงให้จัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว "บีทีเอส" ขอให้ยึดผลประโยชน์ชาติ "ดับบลิวเอชเอ" ชี้ผู้นำต้องสื่อสาร ให้ชัดเจน ไม่สร้างความสับสนทางนโยบาย "เอไอเอส" ขอการเมืองนิ่งฟื้นเศรษฐกิจประเทศ "หอการค้า" ระบุขึ้นค่าแรงต้องค่อยเป็นค่อยไป "เอสซีบี เอกซ์" ไม่ห่วงตั้งรัฐบาลล่าช้า หนุนเศรษฐกิจโตแกร่งในระยะข้างหน้า "กรุงไทย" หวังรัฐบาลใหม่หนุน เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ ย้ำนโยบายเร่งด่วนฟื้นเศรษฐกิจ "บิทคับ" มั่นใจตั้งรัฐบาลตามไทม์ไลน์ "บาฟส์" แนะหาฟันเฟืองใหม่ดันเศรษฐกิจ10-20 ปี
- คอลลิเออร์ส ชี้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง จุดพลุที่ดินตลอดแนวเส้นทางขยับสูงต่อเนื่อง "สำโรง" แตะ 4.2 แสนต่อตารางวา "ศรีนครินทร์-สวนหลวง" 2.6 แสน ดีเวลลอปเปอร์ปักหมุดทำเลทอง 10 ปีผุดคอนโด 1.9 หมื่นยูนิต รอปลดล็อกผังเมืองใช้ "สีแดง" หนุนพัฒนาต่อยอดโครงการอสังหาฯ เต็มรูปแบบ คาดดันราคาที่ดินพุ่งอีก 50%
- กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ปิ๊งไอเดียดึงทัวร์โฮลเซลเข้าระบบแก้ปม 'ทัวร์ทิพย์-ขบวนการสีเทา' ด้านแอตต้าแนะใช้โมเดลไต้หวัน-จีน เพิ่มหลักประกันเป็น 10 ล้านบาท ป้องปัญหาการทิ้งทัวร์ ไกด์นอมินี
- โฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ผลการจัดเก็บรายได้ของกรมในปีนี้ทำได้ดีกว่าคาดการณ์ โดย 7 เดือนของปีงบประมาณ 66 (ต.ค.65-เม.ย.66) จัดเก็บได้กว่า 1.07 ล้านล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 65,166 ล้านบาท หรือ 6.5% และเกินกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 107,101 ล้านบาท หรือ 11.10% ซึ่งทั้งปีงบประมาณคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนและสูงกว่าตามเอกสารงบประมาณอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นไปตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเป้าหมายรายได้ของกรมสรรพากรในปีงบประมาณนี้กำหนดไว้ที่ 2.02 ล้านล้านบาท
*หุ้นเด่นวันนี้
- TOA (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 40 บาท คาดกำไรไตรมาส 2/66 ชะลอ q-q ตามปัจจัยฤดูกาลที่มีวันหยุดจำนวนมากและเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน แต่คาดยังโตแกร่ง y-y โดยเฉพาะจาก Demand กลุ่ม repaint ในไทย ยอดขายต่างประเทศหลักๆจากเวียดนามคาดเห็นการทยอยฟื้น q-q หลังจากไตรมาส 1/66 มีปัญหาภาคอสังหาฯ ส่วนด้าน Margin ในไตรมาส 2/66 คาดปรับตัวดีขึ้นจากสัดส่วนการใช้ TiO2 จากจีนที่สูงขึ้นเป็น 35% จากไตรมาส 1/66 ที่ 20% ประเด็นการขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำคาดกระทบไม่มาก ยังคงประมาณการกำไรปี 2566 ที่ 2.2 พันลบ. +33% y-y และมี Upside จาก Margin ที่อาจทำได้ดีกว่าคาด
- TOP (กรุงศรี) "ซื้อ" เป้า IAA Consensus 61 บาท ได้ Sentiment บวกราคาน้ำมันดิบฟื้นแรงและปิดเหนือระดับ 70$/bbl และมีข่าววซาอุฯ เตรียมลดราคาให้ผู้ซื้อในเอเชีย
- BCP (เมย์แบงก์) เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 49 บาท แรงหนุนจากค่าการกลั่น ที่เติบโตแข็งแกร่งและการเติบโตของกำไรหลังการควบรวมกิจการกับ Esso คาด +53% YoY ในปี 67 ผสานกับอัพไซด์สูงระดับ 37/33% ต่อประมาณการกำไรปี 67/68 จาก synergy และ ราคาหุ้น BCP ยังคงน่าสนใจ ด้วย P/BV ปี 66 ที่ 0.8 เท่า เทียบกับเกือบ 1.4 เท่า ในช่วงขาขึ้นก่อนควบรวม