นางจิตเกษม หมู่มิ่ง ผู้อำนวยการใหญ่สายงานการเงิน บมจ.วีจีไอ (VGI) เปิดเผยว่า บริษัทฯ คงเป้าหมายรายได้รวมปีบัญชี 66/67 (เม.ย.66-มี.ค.67) ไว้ที่ 6,000?6,500 ล้านบาท หรือเติบโต 20-30% จากปีก่อน โดยจะมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้าน (Advertising) ราว 42%, ธุรกิจบริการด้านดิจิทัล (Digital Services) ราว 32% และธุรกิจ Distribution ราว 26%
บริษัทฯ ยังวางเป้าหมายจะมีอัตรากำไรสุทธิที่มากกว่า 10% จากปีบัญชีก่อนที่มีอัตรากำไรสุทธิลดลง 64.88% (-68.88%) ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากกลุ่ม Advertising ตามอัตราการใช้ (Utilization rate) ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วง 55-60% และจำนวน unit price ที่จะเพิ่มขึ้น หลังจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้มีการลดราคาให้กับลูกค้าค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นปีที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ในปีบัญชี 66/67 จะมีการให้ส่วนลดที่น้อยลง โดยคาดจำนวน unit price จะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรสุทธิของกลุ่ม Advertising เพิ่มขึ้นได้ประมาณ 30-40%
ส่วนธุรกิจ Digital Services จะขับเคลื่อนโดย RCare ซึ่งเป็นอินชัวรันส์ โบรกเกอร์ ยังเติบโตได้ตามแผน และในอนาคตคาดว่าน่าจะมีโอกาสในเสนอขายหุ้น IPO ซึ่งจะทำให้ VGI ได้ประโยชน์จากการเพิ่มมูลค่าตรงนี้ด้วย และ RCash เป็น Digital Lending (สินเชื่อดิจิทัล) ซึ่งปีก่อนเป็นปีที่เพิ่งเริ่มต้น โดยปีนี้จะเดินหน้ารุกธุรกิจอย่างจริงจัง
ขณะที่ธุรกิจ Distribution จะมีการควบคุมประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิม จากการเรียนรู้ถึงข้อผิดพลาดในช่วงที่ผ่านมา
บริษัทฯ วางงบการลงทุนในปีบัญชี 66/67 ไว้ที่ประมาณ 1,150 ล้านบาท แบ่งเป็น ค่าใช้จ่ายการลงทุนสำหรับกลุ่ม VGI จำนวน 300 ล้านบาท, รองรับในการขยายตัวของกลุ่มธุรกิจแรบบิท ทั้ง Rabbit Cash, Rabbit LINE Pay และ Rabbit Care จำนวน 350 ล้านบาท และเทอร์เทิล (TURTLE) ซึ่งเป็นธุรกิจผู้ให้บริการค้าปลีกบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส จำนวน 500 ล้านบาท
สำหรับการมองหาโอกาสในการซื้อกิจการ (M&A) บริษัทฯ ไม่ได้ปิดกั้นตัวเองในการทำ M&A เพียงแต่ว่าในช่วงที่ผ่านมา ทั้งในกลุ่ม Advertising, Digital Services และ Distribution (ในกลุ่มการโฆษณา, บริการดิจิทัล และการจัดจำหน่าย) ได้ลงทุนครบถ้วนแล้ว และก็เป็น Ecosystem ที่จะได้ทั้ง Data (ข้อมูล) และการดำเนินธุรกิจแบบปกติได้อย่างครบถ้วนแล้ว จากนี้ไปก็จะเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์หลังจากที่ได้ลงทุนไป อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ไม่ได้ปิดกั้น หากมีโอกาสเข้ามาเสริมในธุรกิจหลักทั้ง 3 ส่วน VGI ก็พร้อมที่จะพิจารณาโอกาสนั้นอยู่เสมอ
นางจิตเกษม กล่าวว่า ส่วนกรณีการลงทุนในบมจ.เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (JMART) ในรูปแบบ Associates Company (ผู้ร่วมงานกับบริษัท) ถือเป็นคู่ค้าลงทุนยาว ฉะนั้นไม่ว่าหุ้น JMART จะราคาขึ้น หรือลง ก็ไม่เป็นสาระสำคัญกับ VGI ส่วนบมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) VGI รับรู้มาแค่ส่วนแบ่งกำไรจากผ่านทาง JMART เข้ามา ซึ่งทาง JMART ก็ได้ประกาศแล้วว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 1/66 (ม.ค.-มี.ค.66) ซึ่งก็คือไตรมาส 4/65-66 ของ VGI และเชื่อว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ จากนี้