นายพสุ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บมจ.พราว เรียล เอสเตท (PROUD) เปิดเผยว่า บริษัทลงนามสัญญาซื้อหุ้นสามัญ ของบริษัท คูคต สเตชัน อัลไลแอนซ์ จำกัด (KK) และ บริษัท พระราม 9 อัลไลแอนซ์ จำกัด (PA9) ในสัดส่วน 100% จากบมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) และ บริษัท ทีเอ็นแอล อัลไลแอนซ์ จำกัด (TNLA) โดยทั้งสองบริษัทดำเนินงานพัฒนาใน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการนิว ดิสทริค อาร์ 9 (Nue District R9) และโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน (Nue Cross Khu Khot Station)
สำหรับการลงทุนซื้อ โครงการนิว ดิสทริค อาร์ 9 (Nue District R9) และโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน (Nue Cross Khu Khot Station ) คิดเป็นมูลค่ารวม 1.73 พันล้านบาท โครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน (Nue Cross Khu Khot Station ) มียอดขาย (pre-sales) แล้ว 100% คาดว่าจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดได้ในต้นปี 67 และโครงการนิว ดิสทริค อาร์ 9 (Nue District R9) มียอดขาย (pre-sales) แล้ว 83% คาดรับรู้รายได้ภายในปี 68 โดยทั้ง 2 โครงการจะทยอยรับรู้รายได้ทันในปี 67-68 ผลักดันให้บริษัทมี Backlog แตะ 1 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.18 พันล้านบาท โดยบริษัทเตรียมนำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น(EGM) เพื่อระดมทุนจำนวน 2,490 ล้านบาท แบ่งเป็น การออกหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของ PROUD (RO) ในอัตราส่วน 1.80 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคา 1.75 บาท/หุ้น รวมมูลค่าไม่เกิน 624 ล้านบาท และส่วนที่เหลือเป็นเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพื่อเป็นเงินทุนและเสริมสภาพคล่องในการดำเนินงานอีก 1.89 พันล้านบาท
นายพสุ เผยว่า การออกหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทแบบ RO มูลค่าไม่เกิน 624 ล้านบาท เพื่อนำมารองรับดีลการเข้าซื้อโครงการนิว ดิสทริค อาร์ 9 (Nue District R9) และโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน (Nue Cross Khu Khot Station) บริษัทมีความั่นใจในการเพิ่มทุนครั้งนี้ ซึ่งได้สำรวจความต้องการของนักลงทุนทั้งหมดแล้วมีความสนใจและมีความพร้อมในการเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อร่วมกันผลักดันศักยภาพของบริษัทให้เติบโตขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของบริษัทที่พร้อมลงทุนเพิ่มในการเพิ่มทุนครั้งนี้
รวมถึงพันธมิตรในดีลการซื้อขายครั้งนี้ คือ NOBLE ซึ่งจะมีการเพิ่มทุนเข้ามา และจะเข้ามาถือหุ้นใน PROUD ไม่เกิน 5% เพื่อสร้างความมั่นใจและร่วมกันในการพัฒนาโครงการที่มาจากดีลการซื้อขายครั้งนี้ให้ส่งมอบกับลูกค้าเป็นไปตามแผนงานที่ววางไว้ อีกทั้งยังมีพันธมิตรจากทาง NOBLE เข้ามาเพิ่มทุนในครั้งนี้ด้วย และส่วนที่เหลืออีกราว 10% จะมาจากการเพิ่มทุนของนักลงทุนทั่วไปที่พร้อมสร้างโอกาสในการต่อยอดและเสริมศักยภาพให้กับบริษัท
สำหรับดีลการซื้อ 2 โครงการ จาก NOBLE ทางบริษัทคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ขั้นต่ำราว 12% แม้ว่าจะต่ำกว่าการพัฒนาโครงการเองที่มี IRR ตั้งแต่ 20% ขึ้นไป แต่แลกมากับความเสี่ยงที่ต่ำ เพราะโครงการผ่าน EIA มีการเริ่มก่อสร้างแล้ว และมียอดขายครบ 100% ของโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน และ 82% ของโครงการนิว ดิสทริค อาร์ 9 ซึ่งสามารถปรับราคาเพิ่มขึ้นได้อีก 10% จากปัจจุบันที่เฉลี่ย 150,000-160,000 บาท/ตารางเมตร และคาดหวังที่จะขายให้ครบ 100% ภายในสิ้นปี 66
ล่าสุดบริษัทได้ประกาศแผนธุรกิจหลังเทิร์นอะราวด์สำเร็จทั้งรายได้-กำไร ในผลประกอบการไตรมาส 1/66 จากความมุ่งมั่นสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งและมั่นคง บริษัทจึงได้มองหาโอกาสในการขยายธุรกิจ และพอร์ตโครงสร้างธุรกิจให้มีความหลากหลายมากขึ้นทั้งทำเลที่ตั้งและกลุ่มลูกค้า สอดรับกลยุทธ์แผนการดำเนินงาน สำหรับความร่วมมือกันครั้งนี้ ถือเป็นสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดของบริษัทผลักดันให้รายได้ แตะ 1 หมื่นล้านบาท ในปี 69 จากเป้าหมายที่วางไว้เดิมที่ 4 พันล้านบาท นอกจากนี้ยังเป็นการขยายฐานทุน เพิ่มขีดความสามารถทางการเงินและศักยภาพของบริษัท "ดีลนี้มาพร้อมกับการสร้างโอกาสการเติบโต (Scale Up) อย่างยั่งยืน และติดอันดับ Top10 ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศในอีก 5 ปีข้างหน้า" นายพสุ กล่าว
นายธงชัย บุศราพันธ์ รองกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์ (NOBLE) กล่าวว่า ดีการซื้อขาย 2 โครงการของ NOBLE ให้กับ PROUD ครั้งนี้ ทาง NOBLE ยังคงร่วมกันทาง PROUD ในการบริหารโครงการต่อไปจนส่งมอบให้กับลูกค้า และเข้าลงทุนในการเพิ่มทุนใน PROUD เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นในร่วมการพัฒนาโครงการจนกระทั่งส่งมอบให้กับลูกค้า
ขณะที่ดีลนี้ทาง NOBLE จะได้กำไรพิเศษเข้ามาราว 400-500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะบันทึกเป็นกำไรพิเศษเข้ามาในช่วงไตรมาส 3/66 และอาจจะมีการพิจารณาจ่ายปันผลพิเศษให้กับผู้ถือหุ้นของ NOBLE ตามความเหมาะสม
ขณะเดียวกัน NOBLE ยังมีโครงการที่มีศักยภาพที่มีความพร้อมในการทำดีลขายเงินลงทุนของโครงการออกไป ซึ่งมีทั้ง PROUD และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นที่จะมีการเจรจาเพิ่มเติม ซึ่งมีอยู่ในพอร์ตราว 6 โครงการที่มีศักยภาพ ได้แก่ NUE NOBLE รัชดา-ลาดพร้าว ยอดขาย 70% NUE ไฟฉาย-วังหลัง ยอดขาย 63% NUE MEGA PLUS บางนา ยอดขาย 68% NOBLE EVO ARI ยอดขาย 61% NUE CORE คูคต ยอดขาย 64% และ NUE RIVEREST ราษฎร์บูรณะ ยอดขาย 40%
นายธงชัย กล่าวว่า สาเหตุที่บริษัททำรายการขายทั้ง 2 โครงการดังกล่าว เป็นไปตามกลยุทธ์ในการดำเนินการของบริษัทที่มีความต้องการสร้างอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นและอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงที่สุด (Maximize Return on Equity (ROE) & Internal Rate of Return (IRR) ) จากการลดระยะเวลาการถือครองและรับรู้กำไรที่สมเหตุสมผล โดยโครงการร่วมทุนทั้ง 2 โครงการเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จในการขายอย่างสูง
"มูลค่าขายของทั้ง 2 โครงการถือเป็นการขายในมูลค่าที่สร้างผลตอบแทนที่ดีทั้งในแง่ของกำไรที่รับรู้ได้และกระแสเงินสดที่ได้กลับมา รวมถึงค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่จะได้รับมากขึ้นจากอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ที่สูงขึ้น หากเทียบกับการถือครองจนจบโครงการในฐานะเป็นผู้บริหารโครงการร่วมทุน ทำให้มองว่าการขายในช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมและสามารถนำเงินสดมาหมุนเวียนเพื่อนำไปลงทุนในโครงการใหม่ๆที่ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น รวมถึงยังเป็นการปรับปรุงโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอีกด้วย" นายธงชัย กล่าว
นอกจากนี้การขายโครงการดังกล่าวยังเป็นการปรับพอร์ตโฟลิโอของโครงการร่วมทุนเพื่อที่จะเพิ่มโครงการร่วมทุนใหม่ๆในอนาคต ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีโครงการร่วมทุนกับ TNLA รวมทั้งสิ้น 13 โครงการ มูลค่ารวม 3.48 หมื่นล้านบาท และบริษัทยังทำหน้าที่เป็นผู้บริหารโครงการในบทบาทเดิม ซึ่งโครงการจะถูกบริหารภายใต้บริษัทเช่นเดิมทุกประการ รวมถึงชื่อโครงการ การก่อสร้างตามข้อผูกพันเดิมกับลูกค้าตามรายละเอียดที่ได้กำหนดไว้ในสัญญาจะซื้อจะขาย รวมไปถึงการบริหารโครงการหลังการขายและการรับประกันผลงานการก่อสร้าง เพื่อให้ไม่มีผลกระทบใดๆกับลูกค้า
อย่างไรก็ตาม สำหรับกระบวนการขายเงินลงทุนและโอนหุ้นใน PA9 และ KK รวมถึงเงินกู้ยืมผู้ถือหุ้นบางส่วนจะเกิดขึ้นภายหลังจากที่คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขบังคับก่อนที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายหุ้นครบถ้วนแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในสิ้นเดือนก.ค. 66 ส่งผลให้บริษัทจะสามารถบันทึกกำไรพิเศษในไตรมาส 3/66 โดยการขายเงินลงทุนใน 2 โครงการให้กับ PROUD ครั้งนี้ ทำให้ NOBLE ได้รับเงินจากการขายเงินลงทุนเข้ามา 1.3 พันล้านบาท และพร้อมนำเงินไปรองรับการลงทุนต่อ โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการใหม่ๆภายในการร่วมทุนกับกลุ่มบีทีเอส และสหพัฒน์ฯ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาทำเลใหม่ในการลงทุนพัฒนาโครงการ