บมจ.ยัสปาล (JPC) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนเวอร์ชั่นแรกต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 156,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) โดยมี บล.กสิกรไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
ณ วันที่ 31 ธ.ค.65 กลุ่มบริษัทฯ มีวงเงินกู้ยืมระยะสั้นและระยะยาวกับธนาคารกสิกรไทย 1,330.00 ล้านบาท โดยมียอดคงค้างจำนวน 746.54 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่ได้ระบุวัตถุประสงค์ในการระดมทุนในครั้งนี้
JPC ประกอบธุรกิจหลัก 2 ธุรกิจ ได้แก่ (1) ธุรกิจค้าปลีกเสื้อผ้า สินค้าแฟชั่น และสินค้าไลฟ์สไตล์อื่นๆ และ (2) ธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายที่นอน เครื่องนอน ของตกแต่งบ้าน และเฟอร์นิเจอร์
สำหรับธุรกิจสินค้าแฟชั่น กลุ่มบริษัท ผลิต และ/หรือจัดหา และจัดจำหน่ายสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คุณภาพสูงในราคาที่เหมาะสม มีความทันสมัย และหลากหลายกว่า 113,000 SKUs (ณ วันที่ 31 มี.ค.66) ครอบคลุม เสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอาง และแว่นตา เป็นต้น ผ่านแบรนด์รวม 19 แบรนด์ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่กลุ่มบริษัทเป็นเจ้าของ (In-House Brand) 10 แบรนด์ และแบรนด์ที่ได้รับอนุญาตให้เป็นตัวแทน (Import Brand) 9 แบรนด์ ได้แก่ Jaspal, CC Double O, CPS CHAPS, Lyn, Jelly Bunny, Misty Mynx, Royal Ivy Regatta, Quinn, V Eye Wear, Melissa Jelly Dreams, Asics, Shoebar, Fred Perry, Superdry, Footwork Noir, Footwork Void, Champion, Ipanema, Mango, Holster, Diesel, Quiksilver, Roxy, Newera, DC Shoes เป็นต้น
กลุ่มบริษัทมีช่องทางการจำหน่ายหลัก 2 ช่องทาง ได้แก่ (1) สาขาหน้าร้านและจุดจำหน่ายสินค้า ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ จำนวนรวมทั้งสิ้น 462 สาขา และ (2) ช่องทางออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ของกลุ่มบริษัทฯ และแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์ต่างๆ (Marketplace) สำหรับสินค้าบางแบรนด์
ส่วนธุรกิจที่นอนและเครื่องนอน หลากหลายมากกว่า 21,500 SKUs ผ่านแบรนด์สินค้า 6 แบรนด์ ซึ่งเป็น In-House Brand 3 แบรนด์ และ Import Brand 3 แบรนด์ ได้แก่ Santas, Steven, Sealy, Tempur และ Ethan Allen จำหน่าย 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ (1) สาขาหน้าร้านและจุดจำหน่ายสินค้าซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า และศูนย์บริการค้าปลีกชั้นนำทั่วประเทศ รวม 508 แห่ง (2) การขายงานโครงการ (Project Sales) และ (3) การส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ
โครงสร้างผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 26 เม.ย.66 มี บริษัท ไอเอสเอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ถือหุ้น 306,000,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 68.9% และหลัง IPO จะลดลงเหลือ 51.0% ส่วนที่เหลือเป็นการถือหุ้น โดยตระกูลสิงห์สัจจเทศ
ผลประกอบการช่วงปี 63-65 รายได้จากการขายของกลุ่มบริษัทฯ ประกอบด้วยรายได้จากการขายผ่าน 2 ช่องทางหลัก ได้แก่ ช่องทางออฟไลน์ และช่องทางออนไลน์ จาก (1) ธุรกิจสินค้าแฟชั่น และ (2) ธุรกิจที่นอนและเครื่องนอน ภายใต้ โดยกลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการขายเท่ากับ 8,450.18 ล้านบาท 8,429.53 ล้านบาท และ 11,665.63 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.65 และปี 66 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการขายเท่ากับ 2,567.16 ล้านบาท และ 2,904.85 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่กำไรสุทธิในปี 63-65 กลุ่มบริษัทฯ มีกำไร (ขาดทุน) สุทธิ เท่ากับ (153.20) ล้านบาท 221.47 ล้านบาท และ 914.50 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตรากำไร (ขาดทุน) สุทธิร้อยละ (1.70) ร้อยละ 2.42 และร้อยละ 7.71 ตามลำดับ ส่วนงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.65 และปี 66 กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิ เท่ากับ 84.35 ล้านบาท และ 242.99 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 3.17 และร้อยละ 8.29 ตามลำดับ
ณ วันที่ 31 มี.ค.66 รวมสินทรัพย์ 8,979.65 ล้านบาท หนี้สินรวม 6,825.31 ล้านบาท และส่วนผู้ถือหุ้น 2,154.34 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ภายหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัทฯ