บมจ.ไซมิส แอสเสท (SA) เจรจา Strategic Partner ทั้งในประเทศ-ต่างประเทศเข้าร่วมทุนผ่านการซื้อหุ้นเพิ่มทุน PP ในสัดส่วน 10% ของทุนจดทะเบียน หวังเสริมศักยภาพความแข็งแกร่ง ยกอันดับเครดิตขึ้น จูงใจกองทุน-สถาบันเข้าลงทุน เพิ่มทางเลือกลดต้นทุนการเงินผ่านการออกหุ้นกู้ดอกเบี้ยไม่สูง ยันมึนไม่รู้สาเหตุราคาหุ้น SA ร่วง แต่ผู้บริหารควักเงินทยอยซื้อเก็บเข้าพอร์ตกว่า 4.5 แสนหุ้น ส่วนหุ้นร้อน OTO ลงทุนส่วนตัวพร้อมถือยาว
นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SA กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศที่มีศักยภาพและมีความสนใจเข้ามาลงทุนเป็น Strategic Partner ด้วยการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน 119 ล้านหุ้นให้กับนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) ในสัดส่วน 10% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ณ วันที่ 9 พ.ค. 66 มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ซึ่งจะเสนอขายในราคาส่วนลดจากราคาหุ้นในกระดานราว 10% และนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนจะติด Silent period (ห้ามซื้อขาย) เป็นระยะเวลา 2 ปี
การเพิ่มทุนครั้งนี้นอกจากกจะช่วยเสริมสภาพคล่องของฐานทุนแล้ว ยังจะช่วยให้มีโอกาสขยับอันดับความน่าเชื่อถือ (เครดิตเรตติ้ง) ของบริษัทให้สูงขึ้นมาที่ระดับ BBB- ได้ จากปัจจุบันที่อยู่ที่ BB+ เนื่องจากจะเข้าเกณฑ์สัดส่วนของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่หลังเพิ่มทุนจะลดลงมาเหลือไม่เกิน 60% จากปัจจุบันอยู่ที่ 64%
อันดับเครดิตที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็น BBB- เป็นระดับที่สามารถลงทุนได้ จะช่วยเปิดโอกาสให้กองทุนหรือนักลงทุนสถาบันสามารถเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัทได้มากขึ้น สามารถต่อยอดและเสริมศักยภาพให้กับบริษัท พร้อมกับเพิ่มทางเลือกในการลดต้นทุนทางการเงินของบริษัทได้ เช่น การออกหุ้นกู้ หากระดับเครดิตเรตติ้ง BBB- คาดว่าจะมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยราว 5% ต่อปี
นายขจรศิษฐ์ กล่าวถึงเรื่องราคาหุ้น SA ปรับตัวลงไปลึกถึง 5.40 บาทเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ไม่ทราบว่ามาจากปัจจัยใดที่เข้ามากระทบต่อราคาหุ้น แต่เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ถือหุ้นในช่วงวันที่ 14-15 มิ.ย.66 ผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ทยอยซื้อหุ้น SA เก็บเข้าพอร์ตอย่างต่อเนื่อง โดยทำรายการซื้อ 2 ครั้ง รวมจำนวน 450,000 หุ้น มูลค่ากว่า 2.8 ล้านบาท
สาเหตุที่เข้าซื้อหุ้นเพิ่มเพราะเชื่อมั่นในพื้นฐานธุรกิจการทำอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งบริษัทมีความเชี่ยวชาญ และมีแผนการดำเนินงานทั้งระยะสั้นและระยะยาวที่ชัดเจน ขณะเดียวกันพร้อมจะเติบโตไปกับบริษัทและพัฒนาศักยภาพเพิ่มขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการผลักดันให้ผลงานสร้างสถิติสูงสุดใหม่
ซีอีโอ SA ยังกล่าวว่า แผนการดำเนินงานปี 66 บริษัทยังคงเป้ารายได้รวม 6-6.6 พันล้านบาท เติบโตไม่ต่ำกว่า 130% จากปีก่อน สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากการเตรียมโอนกรรมสิทธิ์โครงการ Landmark @MRTA Station ซึ่งเป็นโครงการใหญ่มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) แล้วราว 4.7 พันล้านบาท เตรียมทยอยโอนภายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ราว 2 พันล้านบาท
ประกอบกับ บริษัทมีโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบที่เตรียมทยอยโอนกรรมสิทธิ์อีก 3 โครงการ นอกจากนี้ มีกลุ่มสินค้า Ready to move และกลุ่มธุรกิจบริการอื่นๆ ที่จะเข้ามาสนับสนุนการรับรู้รายได้ในปีนี้อีกจำนวนมาก
ส่วนแผนระยะยาว บริษัทเดินหน้าปรับสัดส่วนโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวสูงและแนวราบให้เป็น 50:50 ภายใน 3 ปี เพื่อสร้างสมดุลรายได้ และกระจายความเสี่ยงจากการรับรู้รายได้จากโครงการแนวสูงเพียงอย่างเดียว พร้อมทั้งวางแผนขยายพอร์ตโรงแรมและร้านอาหารอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างรายได้ประจำเข้ามาอีกช่องทาง
ขณะเดียวกันบริษัทยังวางนโยบายการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมุ่งพัฒนาโครงการที่พักอาศัยที่เป็นอาคารสีเขียว เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการใช้พลังงาน น้ำ และลดการใช้พลังงานในการผลิตวัสดุก่อสร้าง เลือกใช้ Materials ที่ช่วยลดผลกระทบจากคาร์บอนให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งในอนาคตอาคารประหยัดพลังงานจะเป็นที่ต้องการมากขึ้นเมื่อเทียบกับอาคารทั่วไป
ส่วนการถือหุ้นใน บมจ.วันทูวัน คอนแทคส์ (OTO) 2.36% นายขจรศิษฐ์ กล่าวว่า เป็นการลงทุนระยะยาว และเป็นการลงทุนส่วนตัว ซึ่งได้ลงทุนในหุ้น OTO มาตั้งแต่ช่วงที่ SA เข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยเข้าถือหุ้น OTO ในตอนนั้น 13.2 ล้านหุ้น ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นอันดับที่ 9 ในปัจจุบัน การเข้าซื้อหุ้น OTO เพราะมีผู้ที่เข้าลงทุนใน OTO ชักชวน แต่ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องในการบริหาร เป็นเพียงการลงทุนส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับ SA ด้วย ขณะเดียวกันยังยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น OTO ที่เกิดขึ้น และเป็นนักลงทุนคนหนึ่งที่ได้ผลกระทบจากการลงทุน OTO เช่นเดียวกับนักลงทุนรายอื่นๆ เนื่องจากต้นทุนสูงกว่าราคาปัจจุบัน แต่ก็ยังคงถืออยู่เท่าเดิม ไม่ได้มีการขายออกไป แต่ก็จะไม่เข้าไปซื้อเพิ่ม หรือมีส่วนร่วมในการเข้าไปบริหารใดๆใน OTO