นายเจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เวฟ เอกซ์โพเนนเชียล (WAVE) กล่าวว่า Wall Street มีเป้าหมายที่จะขยายให้ถึง 21 สาขา ภายในปี 68 โดยเมื่อเดือน เม.ย. มีการทำสัญญากับ นักลงทุน Sub Franchisee จำนวน 2 ราย เปิดสาขาเพิ่มที่ ศรีราชา จังหวัดชลบุรีและ เวียงจันทร์ ประเทศลาว คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือน ก.ย.ปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำยอดขายรวมได้ถึง 1 พันล้านบาทภายในปี 68 ผ่านการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของขยายสาขาเอง และการขยายผ่านแฟรนไชส์
Wall Street มีการดำเนินงานในต่างประเทศทั่วโลกมากกว่า 50 ปี มีกว่า 400 สาขาใน 33 ประเทศทั่วโลก มีนักเรียนที่ผ่านหลักสูตรของ Wallstreet ทั่วโลกเกือบ 4 ล้านคน และ Wall Street ในประเทศไทยเปิดมามากกว่า 20 ปี มีนักเรียนที่ผ่านหลักสูตรของ Wallstreet ในไทยมากกว่าหนึ่งแสนคน ปัจจุบัน มีสาขาทั้งหมด 13 สาขา (เปิดเอง 11 สาขา และมี 2 สาขาจาก Franchising Model)
ส่วนธุรกิจของ Wave BCG จะเป็น S-curve ใหม่ของกลุ่ม Wave ที่ดำเนินธุรกิจคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ในโลก หลังจาก COP26 ที่จัดขึ้นในกลาสโกว์ สก็อตแลนด์ ได้เพิ่มความความกดดันให้กับผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศตื่นตัวในการลดคาร์บอนเครดิต ซึ่งวิสัยทัศน์ของ Wave BCG คือการสนับสนุน ผู้ประกอบการไทยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก
Wave BCG เป็นธุรกิจคาร์บอนเครดิตครบวงจร ให้บริการด้านการเป็นที่ปรึกษาสำหรับผู้ซื้อและผู้ขายคาร์บอนเครดิต สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัท สนับสนุนการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิต การตรวจสอบการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัท การจัดหา คาร์บอนเครดิต ให้องค์กรในไทย และ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีด้าน Climate Tech
นายเจมส์ กล่าวว่า Wave BCG มีการซื้อ CC/RECs ในไทย และประเทศ เวียดนาม รวมถึงมีการตั้งบริษัทในสิงคโปร์เพื่อรองรับธุรกรรมกับต่างประเทศในอนาคต เนื่องจาก Wave BCG มีวิสัยทัศน์ที่ต้องการสนับสนุนองค์กรไทยในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และเป็นคลังคาร์บอนเครดิตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
"หลายองค์กรในเอเชียมีความต้องการคาร์บอนเครดิตสูงขึ้น จากผลการวิจัยของแมคเคนซี่ ตลาดจะมีการเติบโตประมาณ 15 เท่า ภายในปี 73 และอีก 100 เท่า ภายในปี 93" นายเจมส์ กล่าว
ด้านนายอุทัย อริยวิมล รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงินและบัญชี ยังได้กล่าวถึงผลการดำเนินงานของบริษัทงวดไตรมาส 1/66 ว่า มีรายได้อยู่ที่ 104 ล้านบาท เติบโตขึ้น 85% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของที่ผ่านมา และเมื่อเปรียบเทียบกับ ไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้วเติบโตขึ้น 14%
ขณะที่ Gross Profit อยู่ที่ 40 ล้านบาท มีการเติบโตที่ดีขึ้น 2,165% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา และเติบโต 77% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปีที่แล้วและหากเปรียบเทียบอัตราส่วน Gross Profit Margin จะเห็นได้ว่าบริษัทมีอัตราการเติบโตดีขึ้นอย่างมาก จาก 3% ในไตรมาสที่ 1/65 ขึ้นมาที่ 38% ใน ไตรมาสที่ 1/66