นายรณชิต แย้มสอาด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. แพทย์รังสิตเฮลท์แคร์กรุ๊ป (PHG) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้นำเสนอข้อมูลกับนักลงทุน (โรดโชว์) เพื่อเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 54 ล้านหุ้นในวันนี้ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากพื้นฐานธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง และโอกาสในการขยายธุรกิจในอนาคต
PHG ประกอบธุรกิจหลักคือให้บริการทางการแพทย์ภายใต้ กลุ่มโรงพยาบาลแพทย์รังสิต ซึ่งมีประสบการณ์ในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนกว่า 36 ปี พร้อมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญบริการทางการแพทย์ทั่วไปและเฉพาะทางกว่า 20 สาขาที่พร้อมให้บริการดูแลรักษา และให้คำปรึกษาสำหรับผู้บริการในทุกๆกลุ่ม
รวมถึงให้บริการศูนย์หัวใจ 24 ชั่วโมงที่มีศักยภาพในการผ่าตัดหัวใจแบบเปิด หรือ Open Heart Surgery ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการที่รับการส่งต่อเฉพาะด้านการทำหัตถการรักษาหลอดเลือดโคโรนารีผ่านสายสวน ระดับ 1 ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งถือเป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งเดียวใน สปสช. เขต 4 ซึ่งประกอบด้วย นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี สิงห์บุรี สระบุรี และนครนายก
"หลังจากที่เราได้นำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุน ทำให้เรามีความมั่นใจยิ่งขึ้นในการเดินหน้านำบริษัทเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งด้วยพื้นฐานของธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง และโอกาสในการเติบโตในอนาคต ทำให้เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง" นายรณชิตกล่าว
นางสาวเดือนพรรณ ลีลาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ของPHG เปิดเผยว่า PHG เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 54 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาท คิดเป็น 18 % ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ โดยภายหลังได้รับอนุมัติให้เสนอขายหุ้น IPO และแบบไฟลิ่งมีผลใช้บังคับ รวมถึงนำเสนอข้อมูลกับนักลงทุนเรียบร้อยแล้วจะกำหนดวันที่เสนอขายหุ้น IPO ซึ่งคาดว่าจะนำ PHG เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดธุรกิจบริการ (SERVICE) / การแพทย์ (HELTH) ในเร็วๆนี้
ในขณะที่ผลประกอบการปี 63-65 และงวด 3 เดือนแรกของปี 66 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 104.64 ล้านบาท 317.48 ล้านบาท 293.10 ล้านบาท และ 44.55 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 6.73 ร้อยละ 15.99 ร้อยละ 14.27 และร้อยละ 9.11 ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นถึงผลประกอบการที่มีความแข็งแกร่งมาอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการขยายธุรกิจตามแผนวัตถุประสงค์การใช้เงินภายหลังการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
นางสาวพิมพ์พิชญธ์ ปรีชานันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.คิงส์ฟอร์ด ในฐานะเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม หรือ (Joint Lead Underwriter) เปิดเผยว่า PHG เป็นผู้ให้บริการทางการแพทย์ภายใต้โรงพยาบาลจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลแพทย์รังสิต โรงพยาบาลแพทย์รังสิต 2 และโรงพยาบาลเฉพาะทางแม่และเด็กแพทย์รังสิต สามารถรองรับผู้รับบริการทางการแพทย์จากคนในจังหวัด กรุงเทพตอนเหนือ ปทุมธานี และจังหวัดใกล้เคียง โดยให้บริการทั้งกลุ่มลูกค้าทั่วไป กลุ่มลูกค้าภายใต้สวัสดิการภาครัฐ และลูกค้าชาวต่างชาติ โดยปัจจุบันกลุ่มโรงพยาบาลแพทย์รังสิต มีจำนวนเตียงจดทะเบียนรวมทั้งหมด 270 เตียง ประกอบด้วยโรงพยาบาลแพทย์รังสิต โรงพยาบาลแพทย์รังสิต 2 และ โรงพยาบาลเฉพาะทางแม่และเด็กแพทย์รังสิต จำนวน 155 เตียง 59 เตียงและ 56 เตียง ตามลำดับ
PHG มีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก จากศักยภาพทางธุรกิจที่สูงด้วยความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคเฉพาะทางแม่และเด็ก และความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจด้วยการผ่าตัดหัวใจแบบเปิด หรือ Open Heart Surgery โดยมีให้บริการศูนย์หัวใจ 24 ชั่วโมง และสามารถต่อยอดการพัฒนาศักยภาพทางการแพทย์ เสริมความแข็งแกร่งในการให้บริการเกี่ยวกับโรคผู้สูงอายุ โรคทางนรีเวชแบบ Non-Invasive Surgery และโรคมะเร็งแบบครบวงจร ได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งจะสามารถตอกย้ำความมั่นใจจากนักลงทุนภายหลังจากการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ นายฐิติวัชร กรวุฒิ ผู้อำนวยการอาวุโส บล. กรุงศรี ในฐานะเป็น Joint Lead Underwriter เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์ในการนำเงินระดมทุนที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนในโครงการช่วงปี 66-69 ประกอบไปด้วย 1.เพื่อเป็นเงินทุนในโครงการก่อสร้างอาคารจอดรถภายในปี 67 2.เพื่อเป็นเงินทุนในโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใหม่ที่ 1 ภายในปี 67
3.เพื่อเป็นเงินทุนในโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใหม่ที่ 2 ภายในปี 69 4.เพื่อเป็นเงินทุนในการซื้อเครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ภายในปี 567 5.เพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมแก่สถาบันการเงินบางส่วนภายในปี 66 และ 6.เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจภายในปี 66
"ถือว่าแผนในการขยายธุรกิจของ PHG มีความน่าสนใจ เพราะจะเพิ่มศักยภาพในการรองรับ และให้บริการทางการแพทย์ที่สูงขึ้น สร้างโอกาสในการเติบโต รวมถึงเป็นการต่อยอดการให้บริการทางการแพทย์ที่โดดเด่นอยู่แล้วให้มีความโดดเด่นยิ่งขึ้นในอนาคต"