นายวีระพล ไชยธีรัตต์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป CWT) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติแผนเพิ่มทุนจดทะเบียนของ บริษัท กรีน เพาเวอร์ 2 จำกัด (GP2) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มพลังงานที่มี บริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท ชัยวัฒนา กรีน จำกัด (CWTG) ถือหุ้นโดยตรง 100% ของทุนจดทะเบียน โดย GP2 จะเพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 300,000,000 บาท เป็น 510,109,300 บาท ด้วยการออกหุ้นสามัญใหม่ 2,101,093 หุ้น จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน วัตถุประสงค์เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นเดิม และเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการปรับโครงสร้างการถือหุ้นภายในกลุ่ม CWTG
พร้อมทั้งอนุมัติการปรับโครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่ม CWTG ในบริษัทย่อยกลุ่มธุรกิจพลังงาน โดย GP2 จะเข้าถือหุ้นใน บริษัท กรีน เพาวเวอร์ 1 จำกัด (GP1) , บริษัท กรีน เพาวเวอร์ 4 จำกัด (GP4) , บริษัท กรีน เพาวเวอร์ 5 จำกัด (GP5) และ บริษัท กาพสินธุ์รุ่งเรือง ไบโอ เพาวเวอร์ 2012 จำกัด (KRR) ตามสัดส่วนที่ CWTG ถืออยู่ในบริษัทต่างๆ ดังกล่าว
CWTG จะโอนหุ้นบริษัทกลุ่มดังกล่าวในราคาเท่ากับมูลค่าทางบัญชีสุทธิ (Net Book Value) ให้แก่ GP2 และ CWTG จะรับชำระค่าโอนหุ้นดังกล่าวเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน (share swap) จาก GP2 โดยไม่มีการชำระค่าตอบแทนในรูปแบบของตัวเงิน (No Cash Alternative) คาดว่าจะดำเนินการด้านธุรกรรมให้แล้วเสร็จภายในเดือน มิ.ย.นี้
กรรมการผู้จัดการ CWT กล่าวต่อว่า บริษัทวางแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจกลุ่มพลังงาน เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการขยายธุรกิจ เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยแบ่งแต่ละกลุ่มธุรกิจอย่างชัดเจน เพื่อจะสามารถบริหารจัดการโครงการดังกล่าวได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการ Spin Off ธุรกิจพลังงานเข้าระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยอยู่ระหว่างเร่งสะสมสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โดยตั้งเป้าหมายสะสมสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในมือ มากกว่า 50 เมกะวัตต์ภายในปี 66
"บริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการเตรียมยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) สำหรับกลุ่มธุรกิจพลังงาน คาดว่าจะดำเนินการได้ภายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เพื่อมุ่งสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย"
สำหรับแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง กลุ่มบริษัทยังคงเป้าหมายรายได้เติบโตไม่น้อยกว่า 10% จากปีก่อน เนื่องจากธุรกิจเบาะหนังบริษัทฯ มีคำสั่งซื้อเข้ามาต่อเนื่อง และมีแผนการส่งมอบงานอย่างชัดเจน ขณะที่มีรายได้จากธุรกิจจำหน่ายไฟฟ้าเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ส่วนธุรกิจ SKC มีแผนการส่งมอบงานตามกำหนดเช่นกัน