PHG เปิดเทรดวันแรก 19.80 บาท ลดลง 1.20 บาท (-5.71%) จากราคา IPO 21 บาท
และเช้านี้มีรายการบิ๊กล็อต 20 รายการ รวม 30,341,000 หุ้น ที่ราคาเท่ากับ IPO คือ 21 บาท/หุ้น คิดเป็นมูลค่า 637.16 ล้านบาท ขณะที่บริษัทแจ้งในแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 4 รายจะทำรายการขายหุ้นบิ๊กล็อตจำนวน 29,205,000 หุ้น ในราคา 21 บาท/หุ้น ให้กับนักลงทุน 5 ราย ได้แก่ (1) บมจ.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ (ROJNA) 5% (2) นางสาวสุดา อัศวโภคิน 3.38% (3) นายสมยศ สกุลอิสริยาภรณ์ 0.47% (4) บมจ. ทิพยประกันภัย ในเครือ บมจ.ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TIPH) 0.33% และ (5) บล.ดาโอ (ประเทศไทย) 0.05% ของทุนจดทะเบียนหลัง IPO
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่า บมจ.แพทย์รังสิตเฮลท์แคร์กรุ๊ป (PHG) ยังมีทิศทางการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่องในอนาคตภายหลังจาก IPO จากการนำไปเงินระดมทุนไปขยายการให้บริการรองรับลูกค้าได้เพิ่มขึ้น และยังเห็นสถานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น โดยประเมินราคาที่เหมาะสมไว้ที่ 29 บาท/หุ้น
ด้าน บล.กรุงศรี ระบุ แนวโน้มกำไรของ PHG ประเมินว่ายังมีการเติบโตเฉลี่ย 21% ต่อปี จากการปลดล็อกอุปสงค์คงค้างของผู้ป่วยโรคไม่เร่งด่วน, สปส.ปรับอัตราเหมาจ่ายรายปีขึ้น 10.2% ตั้งแต่ 1 พ.ค. 66 และโควต้าเพิ่ม 12.8% ตั้งแต่ปลายปี 67 และการขยายความจุ OPD 24%, IPD 33%, ศูนย์ฟอกไต 114% และขยายธุรกิจใหม่เช่น ศูนย์รักษาโรคมะเร็งครบวงจร, ศูนย์เวชกรรมฟื้นฟู และศูนย์รักษาโรคทางนรีเวช
แนวโน้มอุตสาหกรรมเป็นบวกจากการเปลี่ยนแปลงในทางบวกของภูมิศาสตร์จังหวัดปทุมธานีและบริเวณใกล้เคียง เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่มีประชากรหนาแน่นและเป็นแหล่งงานที่ขยายตัวต่อเนื่อง มีสาธารณูปโภคครบครัน การเดินทางสะดวก และไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ทางด้านประชากรศาสตร์เป็นบวกเช่นเดียวกัน คนไทยอายุยืนยาวขึ้น และเป็นสังคมสูงวัย ทำให้เป็นโรคซับซ้อนและโรคเรื้อรังมากขึ้น การขยายตัวของสังคมเมืองและผู้มีรายได้ปานกลางเพิ่มขึ้น ส่งผลความต้องการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพมากขึ้น โดยประเมินราคาเหมาะสมไว้ที่ 29 บาท/หุ้น