นายวิทูร เลิศพนมวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไอเอฟซีจี (IFCG) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อรองรับการขยายธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มุ่งสู่ Innovation Property Agent หลังสะสมประสบการณ์มายาวนานกว่า 14 ปี
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา IFCG เติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยทีมงานนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเป็นมืออาชีพ มีความชำนาญในการวิเคราะห์และคัดเลือกโครงการที่จะเข้าไปลงทุน ไม่ว่าจะเป็นวิเคราะห์งบการเงิน ทำเลที่ตั้ง และราคาที่เหมาะสม ในแต่ละโครงการเพื่อลดความเสี่ยง อีกทั้งยังมีตัวเลขรายอสิระที่ผ่านการอบรมความรู้ ความเข้าใจก่อนเสนอขายอสังหาฯให้กับลูกค้า มีสินค้าให้เลือกลงทุนกว่า 100 โครงการ มีดีลเลอร์กว่า 250 รายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ลูกค้าในพอร์ตมากกว่า 50,000 ราย มูลค่าลงทุนกว่าหมื่นล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัทมีพันธมิตรที่เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั้งที่จดทะเบียนในและนอกตลาดหลักทรัพย์นำโครงการกว่า 100 โครงการเข้ามานำเสนอข้อมูลให้บริษัทคัดเลือกเข้าลงทุนมูลค่ากว่าแสนล้านบาท
"ทีมงานของเรามีประสบการณ์ด้านอสังหาฯมานาวนาน ทำให้เข้าใจถึงพฤติกรรมหรือความต้องการของลูกค้าที่ต้องการลงทุนในอสังหาฯ เราเข้าไปแก้ Pain point ที่ลูกค้าเจอ เราเข้าไปทำหน้าที่ในฐานะ Invesment Property Agent ช่วยคิดและจัดสรรเงินให้กับลูกค้า โดยลูกค้าที่ลงทุนกับ IFCG จะได้รับส่วนลดส่งเสริมการขาย เงินดาวน์มีผลตอบแทนราคาพิเศษ ได้รับการยกเว้นค่าส่วนกลางและค่าธรรมเนียมการโอน ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละโครงการ อีกทั้งมีผู้เชี่ยวชาญบริการจัดการได้รับรายได้ค่าเช่าคงที่ตามสัญญา และที่สำคัญกรณีที่ต้องการขายต่อ IFCG มีบริหารช่วยหาผู้รับซื้อต่อ ทำให้สามารถสร้างผลตอบแทน 2 ต่อ ทั้งที่เกิดขึ้นจากการวางเงินดาวน์และการขายต่อให้กับผู้รับซื้อรายใหม่" นายวิทูร กล่าว
บริษัทมีแผนขยาย 2 สาขา จาก 2 แห่ง เป็น 30 แห่งภายใน 5 ปีข้างหน้า รวมถึงแผนขยายสาขาในต่างประเทศ เช่น ในประเทศจีน ญี่ปุ่น รัสเซีย ฮ่องกง รวมถึงนำไปใช้พัฒนาเทคโนโลยีให้ดีลเลอร์ พาร์ทเนอร์ เข้าถึงทั้งในและต่างประเทศ และนำไปใช้สำหรับการขยายกิจการของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพิ่มโอกาสในการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต รองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าอสังหาฯ เพื่อการลงทุนที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง นายวิทูร กล่าวว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในปี 66 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องตามสถานการณ์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังสถานการณ์แพร่ระบาดโควิดเริ่มคลี่คลายลง ประเทศไทยมีการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติ รวมไปถึงการมีนโยบายให้ต่างชาติซื้อบ้านในไทยได้ โดยมีเงื่อนไขชาวต่างชาติที่จะซื้อบ้านในไทยได้ต้องลงทุนในประเทศไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดความต้องการซื้ออสังหาฯ เพื่อการอยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น รวมถึงยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการขายอสังหาฯราคาสูงให้กับต่างชาติที่มีศักยภาพในการซื้อสูงด้วย