นายพรสิทธิ์ ภูวนากิจจากร ผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วน PrimeStreet Capital ผู้บริหารกองทุน Global Venture Capital สัญชาติไทย ซึ่งมีสำนักงานทั้งในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา ในเครือ PrimeStreet Group เปิดเผยว่า ปัจจุบัน Venture Capital เป็นสินทรัพย์ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากและกระจายอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก ทั้งในสหรัฐอเมริกา,ลาตินอเมริกา, ยุโรป รวมถึงเอเชีย นับเป็นโอกาสในการเข้าไปร่วมลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี และต่อยอดการเติบโตที่แข็งแกร่ง ซึ่งขณะนี้ PrimeStreet Capital อยู่ระหว่างการคัดกรองกิจการและธุรกิจที่น่าสนใจในการเข้าร่วมลงทุนภายใต้คอนเซ็ปต์ "Low Risk High Return" เบื้องต้นคาดว่าจะเข้าร่วมลงทุนเพิ่มเติมอีก 4-5 บริษัท ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพสูงพร้อมเติบโตแบบก้าวกระโดดภายในปี 67
ล่าสุดมูลค่าพอร์ต Global Venture Capital ภายใต้การบริหารจัดการของ PrimeStreet Capital ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน IRR ราว 122% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ตามการเติบโตของกิจการบริษัทร่วมลงทุน โดยล่าสุด คือ "NEUVIVO" บริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech Company) อยู่ระหว่างยื่นขอรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ FDA (Food and Drug Administration)
ขณะที่ "Clip" ยูนิคอร์นด้าน FinTech ผู้พัฒนาระบบการชำระเงิน (Payment Process) ในเม็กซิโก 1 ในบริษัทร่วมลงทุน ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าสินทรัพย์รวมกว่า 2 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ เตรียมเข้าเทรดในตลาดหุ้น Nasdaq เร็วๆนี้ จากก่อนหน้า "ZAPP" ผู้คิดค้นออกแบบและพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง สตาร์ทอัพ สัญชาติอังกฤษ ได้เข้าซื้อขายในตลาดหุ้น Nasdaq ไปเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าบริษัท ณ วันเข้าซื้อขายวันแรกประมาณ 4 ร้อยล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ
ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา PrimeStreet Capital ได้รับความสนใจจากนักลงทุนรายใหญ่ และนักลงทุนสถาบันจากทั่วโลกทั้งยุโรป, อเมริกา และเอเชีย อย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมา มีนักลงทุนรายใหญ่จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านกระบวนการการอนุมัติและเข้ามาเป็นผู้ลงทุนในกองทุน Global Venture Capital เพิ่มเติมจากกลุ่มของผู้ลงทุนเดิม และคาดว่าช่วงครึ่งหลังของปี 66 จะมีทั้งนักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนสถาบันทยอยเข้ามาลงทุนในกองทุน Global Venture Capital เพิ่มเติมอีก ซึ่งนับเป็นการตอกย้ำอีกขั้นความสำเร็จในการบริหารการลงทุนของ PrimeStreet Capital ได้อย่างชัดเจน
PrimeStreet Capital ได้มุ่งเฟ้นหากิจการหรือบริษัทที่น่าสนใจมีศักยภาพและโอกาสการเติบโตสูง เพื่อหาจังหวะที่เหมาะสมในการเข้าไปร่วมลงทุน โดยเน้น 4 ธีมการลงทุนเมกะเทรนด์ ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความท้าทายของเศรษฐกิจและสังคมในยุคศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย 1. Healthcare and Wellness, 2. Society and Lifestyle, 3. Environment and Resource และ 4. Impact Technology & Web 3.0 ภายใต้กลยุทธ์การลงทุนเชิงรุก "Active Approach" เพื่อเข้าช่วยเหลือ และแบ่งปันประสบการณ์ด้านกลยุทธ์องค์กร, การดำเนินงาน และการจัดการทางการเงิน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพ อันจะนำไปสู่การเติบโตที่แข็งแกร่ง และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืน
รวมถึงกลยุทธ์ "Inside Out-Outside In" เพื่อแสวงหาโอกาสลงทุน นำเทคโนโลยีใหม่ๆ กลับมาต่อยอดให้กับกิจการ หรือภาคธุรกิจภายในประเทศ สร้าง New S-Curve ขับเคลื่อนการเติบโต อันจะไปนำสู่การพัฒนายกระดับศักยภาพ Ecosystem ของไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น