บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ถูกยกให้เป็นหุ้นที่มีความโดดเด่นในช่วงนี้ จากราคาน้ำมันดิบอาจมีอัพไซด์เพิ่มจากการลดกำลังการผลิตของซาอุดิอาระเบีย และลดการส่งออกน้ำมันของรัสเซีย รวมถึงผลกระทบจากเอลนีโญ น่าจะเป็นบวกต่อราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในช่วงครึ่งปีหลังนี้ คาดว่าจะเป็นแรงหนุนสำคัญ ขณะที่ยังมีปัจจัยบวกจากกำลังการผลิตที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น และการควบคุมต้นทุนได้ค่อนข้างดี น่าจะทำให้ผลการดำเนินงานยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง
นายจักรพงศ์ เชวงศรี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย คงแนะนำ Outperform หุ้น PTTEP จากคาดราคาน้ำมันดิบมีดาวน์ไซด์จำกัดและมีอัพไซต์ จากการที่ซาอุดิอาระเบีย และรัสเซีย ประกาศปรับลดกำลังการผลิตอีกในเดือน ส.ค. โดยซาอุดีอาระเบียขยายเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจวันละ 1 ล้านบาร์เรล ขณะที่รัสเซียจะลดการส่งออกน้ำมัน 5 แสนบาร์เรล ซึ่งจะทำให้ปริมาณน้ำมันในตลาดโลกลดลง 1.5% อีกทั้งราคาน้ำมันน่าจะทรงตัวอยู่แถวๆ 75 เหรียญฯ/บาร์เรล ในช่วง 12-18 เดือน
อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจุบันที่มีผลกระทบจากเอลนีโญเกิดขึ้น hurricane season หรือฤดูเฮอริเคนแอตแลนติก จะรุนแรงกว่าปกติ ก็อาจจะทำให้การผลิตน้ำมันในอ่าวปรับตัวลดลง ในขณะที่สภาพอากาศในซีกโลกใต้อาจแห้งแล้ง และซีกโลกเหนือหนาวเย็นผิดปกติ ซึ่งด้วยภาพดังกล่าวทำให้มีมุมมองเชิงบวกมากขึ้น ต่อราคาน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติในช่วงครึ่งปีหลังของปี
โดยปรับคาดการณ์ราคาน้ำมัน ปี 67-68 ขึ้นเป็นทรงตัวเมื่อทียบกับปี 66 ที่คาดเฉลี่ย 75 เหรียญฯ/บาร์เรล และปรับ Unit production cost ลงจากการควบคุมต้นทุนที่ค่อนข้างดี รวมถึงปรับรายได้อื่นๆ ขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับปี 65 และคาดการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น
แต่ผลการดำเนินในไตรมาส 2/66 คาดลดลงทั้ง YoY และ QoQ หรือคาดกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 18,700 ล้านบาท ลดลง 9% YoY และ 3% QoQ แต่ยังอยู่ในกรอบสูงของประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากปริมาณการขายสูงกว่าคาด โดยคาดการณ์ใหม่อยู่ที่ 4.50 แสนบาร์เรล/วัน (KBD) เทียบกับคาดการณ์ก่อนหน้าที่อยู่ 4.37 แสนบาร์เรล/วัน จากแหล่งเอราวัณ (G1/61)ที่ขึ้นได้ตามแผน และแหล่งอาทิตย์สามรถผลิตได้สูงกว่าที่คาดไว้ราว 10%
ขณะที่ราคาขายเฉลี่ย (Average Selling Price) ปรับตัวลง 15% YoY และ 5% QoQ มาอยู่ที่ 47.5 เหรียญฯ/บาร์เรล สอดคล้องกับคาดการณ์ก่อนหน้า ส่วน Unit Cost อยู่แถวๆ 27.5 เพิ่มขึ้น 6% QoQ จากไตรมาส 1/66 ที่อยู่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิไตรมาสนี้ได้รวม Non-recurring items เข้ามาประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยหลักมาจาก Oil Hedging
มุมมองครึ่งปีหลังคาดอ่อนตัวลงต่อเนื่องจากต้นทุนการผลิตต่อหน่วยเพิ่มขึ้น 1-2 ดอลลาร์/บาร์เรลในแต่ละไตรมาส ซึ่งเป็นปกติตาม activity การขุดเจาะที่เพิ่มขึ้น แต่ยังแข็งแกร่งจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณการผลิตที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นของแหล่ง G1 จะชดเชยผลกระทบจากราคาขายก๊าซที่ลดลงได้ทั้งหมด ดังนั้น จึงปรับประมาณการปี 66-68 ขึ้น 15-22% มาอยู่ที่ 6-6.5 หมื่นล้านบาท/ปี ในช่วง 3 ปี ข้างหน้า จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ต้นทุนต่อหน่วยที่ลดลง โดยหุ้นซื้อขายที่ -1SD PER
แนะ "ซื้อ" และปรับปีฐานราคาเป้าหมายไปเป็นกลางปี 67 ที่ 168.0 บาท เพื่อสะท้อนการปรับเพิ่มประมาณการกำไรและการปรับปีฐานราคาเป้าหมายจากสิ้นปี 66 ไปเป็นกลางปี 67 ราคาเป้าหมายที่อิงตาม DCF จึงเพิ่มขึ้นจาก 160.0 บาท เป็น 168.0 บาท
ด้าน บล.ดาโอ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ประเมิน PTTEP จะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/66 ที่ 1.81 หมื่นล้านบาท (-12% YoY, -6% QoQ) โดยลดลงหลักๆ ตามปริมาณขายเฉลี่ยและราคาขายเฉลี่ย (Blended ASP) ที่ลดลง อย่างไรก็ดี เชื่อว่าปริมาณขายเฉลี่ยจะลดลงน้อยกว่าที่คาดก่อนหน้านี้
และบริษัทจะยังคงเห็นการเติบโต HoH ของปริมาณขายในครึ่งปีหลัง หนุนด้วยปริมาณผลิตที่สูงขึ้นของโครงการ G1/61 (เอราวัณ) ซึ่งบริษัทยังคงแผนการผลิตให้ได้ 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (mmscfd) ภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้เชื่อว่าราคาน้ำมันเฉลี่ยจะปรับตัวสูงขึ้นในครึ่งปีหลังนี้ โดยมีแรงผลักดันหลักๆ จากแผนการลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC+
คงประมาณการกำไรสุทธิปี 66-67 ที่ 6.63 หมื่นล้านบาท และ 6.84 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ เทียบกับ 7.09 หมื่นล้านบาทในปี 65 โดยมีสมมติฐานสำคัญ คือ 1.ปริมาณยอดขายรวมจะอยู่ในช่วง 455-508 พันบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน (kboed) เทียบกับ 468 kboed ในปี 65, 2. Blended ASP จะอยู่ในช่วง 44.8-48.5 เหรียญฯ/บาร์เรล ลดลงจาก 53.4 เหรียญฯ/บาร์เรล ตามแนวโน้มราคาขายเฉลี่ยก๊าซธรรมชาติ (gas ASP) และราคาน้ำมันดิบโลกที่ต่ำลง และ 3.ต้นทุนต่อหน่วย (unit cost) จะอยู่ในช่วง 27.2-28.2 เหรียญฯ/บาร์เรล เทียบกับ 28.4 เหรียญฯ/บาร์เรล ในปี 65
ราคาหุ้นปรับตัวลง 10% ใน 6 เดือนที่ผ่านมา สอดคล้องกับการปรับสู่ระดับปกติของราคาน้ำมันดิบ ทั้งนี้ ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายที่ ปี 66 PBV 1.21 เท่า (ประมาณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) ซึ่งหากประมาณการไตรมาส 2/66 ของเราถูกต้อง กำไรครึ่งปีแรกจะคิดเป็น 56% ของประมาณการทั้งปีของเรา แม้เราจะเชื่อว่าบริษัทจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มปริมาณขายเฉลี่ยและราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นในครึ่งปีหลัง แต่เราคงประมาณการกำไรไว้ เนื่องจากเชื่อว่ามีความเสี่ยงขาลงที่เป็นไปได้หากบริษัทไม่สามารถเข้าพื้นที่โครงการ Mozambique ได้ภายในสิ้นปี 66
กสิกรไทย ซื้อ 168.00 ดาโอฯ ซื้อ 175.00 ทิสโก้ ซื้อ 169.00 บัวหลวง ซื้อ 200.00 ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบีฯ ซื้อ 168.00