นางสาวนริสรา ชัยวัฒนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.บลูเบลล์ เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทได้เคยกำหนดเป้าไว้กว่า 15,000 ล้านบาท หรือ เติบโตเป็น 3 เท่าของปี 65 โดยคาดว่าการขยายผลิตภัณฑ์และบริการตามที่วางแผนไว้จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทได้อย่างก้าวกระโดดอย่างแน่นอน
ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทถือว่ายังสามารถเติบโตอย่างเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 มียอดจัดจำหน่ายหุ้นกู้ไปแล้วรวมเป็นมูลค่า 5,610.50 ล้านบาท เปิดเสนอขายดีลหุ้นกู้ไปแล้วกว่า 28 ดีล ทำให้ในระยะเวลาเพียงแค่ 1 ปี (นับตั้งแต่ มิถุนายน 2565) บริษัทสามารถก้าวขึ้นมาอยู่ในลำดับที่ 7 ของการเป็นผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้รายใหญ่ในตลาด (กลุ่มที่ไม่ใช่ธนาคาร) อ้างอิงจากการจัดอันดับโดยสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) และมีฐานลูกค้าลงทุนอย่างต่อเนื่องมากกว่า 2,700 ราย
นางสาวนริสรา กล่าวเสริมว่า แม้ว่า ตลาดหุ้นกู้จะได้รับผลกระทบจากเหตุผิดนัดชำระหนี้ของหุ้นกู้ STARK แต่หากมองภาพรวมของตลาดหุ้นกู้ครึ่งปีหลัง 2566 แล้ว บริษัทยังมีมุมมองที่เชื่อมั่นว่าตลาดหุ้นกู้จะมีทิศทางในการปรับตัวที่ดีขึ้น ซึ่งอาจเกิดได้จากปัจจัยหลักๆ ไม่ว่าจะเป็น
1. ทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยทั่วโลกเริ่มชะลอตัว โดยสหรัฐอเมริกาได้ส่งสัญญาณว่าอาจจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงให้มาอยู่ในระดับที่เหมาะสมเมื่อเหตุการณ์เงินเฟ้อผ่านพ้นไป ดังนั้น การที่อัตราดอกเบี้ยลดความผันผวนลงและกลับมาสู่ระดับที่ดีต่อภาคธุรกิจถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นกู้มีเสถียรภาพมากขึ้น
2. การคลี่คลายอย่างต่อเนื่องของสถานการณ์โควิด 19 ที่ในระยะยาวย่อมส่งผลดีต่อภาคธุรกิจการท่องเที่ยวไทยที่ถือเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ หากธุรกิจการท่องเที่ยวของไทยกลับมาสู่ระดับปกติ การใช้จ่ายในประเทศก็มีแนวโน้มจะกลับมาเข้มแข็งขึ้น
3. ผู้ออกตราสารหนี้ในตลาดทยอยได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ และมีบริษัทใหม่ๆ เข้ามาจัดอันดับความน่าเชื่อถือเพื่อออกหุ้นกู้เป็นจำนวนมากในปี 2566 สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและความน่าสนใจทั้งต่อผู้ระดมทุนและผู้ลงทุน
นอกจากนี้ บริษัทยังได้เดินหน้าขยายผลิตภัณฑ์และบริการตามที่ได้วางแผนไว้เพื่อเป็นการตอบโจทย์ทางเลือกให้กับนักลงทุนมากยิ่งขึ้นโดยการเสริมทัพด้วยผลิตภัณฑ์กองทุนรวม ซึ่งบริษัทได้รับอนุญาตให้เริ่มประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าซื้อหลักทรัพย์ที่เป็นขายหน่วยลงทุนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา การต่อยอดในครั้งนี้ถือเป็นกลยุทธ์หลักที่บริษัทจะสามารถเติมเต็มธุรกิจได้อย่างครบวงจรและยกระดับมาตรฐานของธุรกิจหลักทรัพย์ให้ก้าวไกลได้อย่างแน่นอน
สำหรับ นางสาวสิฏ์ระสา บุญ-หลง ประธานสายงานการตลาด แม่ทัพคนสำคัญของกลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่จะเข้ามาร่วมบริหารเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้า Wealth ที่สนใจการลงทุน รวมถึงเตรียมทีมผู้แนะนำการลงทุน (Investment Consultant) เพื่อดูแลลูกค้า กล่าวเสริมว่า การมาร่วมงานกับบลูเบลล์ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะมาช่วยเติมเต็มความแข็งแกร่งให้กับบริษัทมากยิ่งขึ้น
โดยมีปณิธานที่จะส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพและเหมาะสมให้แก่นักลงทุนทั้งหุ้นกู้และกองทุนรวมภายใต้ความร่วมมืออย่างเต็มที่จาก 15 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำ เพื่อตอบโจทย์ทั้งฐานลูกค้าหุ้นกู้เดิมและลูกค้าใหม่ รวมถึงยังคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของทีมงานที่จะคอยดูแลเอาใจใส่และอยู่เคียงข้างในทุกสถานการณ์ลงทุนทั้งกับลูกค้าและผู้แนะนำการลงทุนที่เป็นเสมือนตัวแทนของบลูเบลล์ ภายใต้วิสัยทัศน์ "Growing Your Wealth Together" ไปพร้อมๆ กัน
นางสาวสิฏ์ระสา กล่าวต่อว่า ทีมงานได้เตรียมพร้อมในการขยายฐานลูกค้าไว้แล้ว และคาดว่าจะสามารถต่อยอดสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ได้ถึง 5,000 ล้านบาท ภายใน 1 เดือน และได้ตามเป้าหมายที่มากกว่า 10,000 ล้านบาทในสิ้นปี 2566 นี้แน่นอน โดยกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อน คือ การสร้าง "Best Investment Solutions" อันประกอบด้วย
1. การเสริมเครื่องไม้เครื่องมือด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ชื่อว่า "iAssis" ซึ่งออกแบบมาให้ง่ายและสะดวกสบายในการใช้งาน ตอบโจทย์ผู้แนะนำการลงทุนในยุคดิจิทัลในการช่วยบริหารพอร์ตการลงทุน
2. เติมเต็มประสบการณ์และเพิ่มการดูแลให้เป็นพิเศษแก่ทั้งลูกค้าและผู้แนะนำการลงทุน โดยเฉพาะผู้แนะนำการลงทุนที่เป็นเสมือนตัวแทนของ BlueBell ให้มีความมั่นใจใน "บ้านแห่งการลงทุน" นี้ ผลของการทำงานที่ดีมีศักยภาพ ซึ่งจะยิ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้อีกด้วย
3. ยกระดับ Wealth ของลูกค้าให้มั่งคั่งด้วยโอกาสในการเพิ่มพูนผลตอบแทนจากการลงทุนจากการบริหารพอร์ตอย่างใกล้ชิด เพราะ BlueBell ให้ความสำคัญกับประสบการณ์การดูแลแบบพรีเมี่ยมแก่ลูกค้าทุกระดับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดจากความใส่ใจ และเข้าใจความต้องการของลูกค้าไปจนถึงปัญหาที่นักลงทุนต้องเผชิญในแต่ละสถานการณ์ของการลงทุน ด้วยคำมั่นสัญญาที่ถือเสมือนว่าลูกค้าคือบุคคลสำคัญที่ต้องดูแลด้วยใจและอยู่คู่เคียงกันตลอดไป
นอกจากนี้ Bluebell ยังได้เปิดตัวธุรกิจใหม่ในเครือ ภายใต้ชื่อ "Black Op Solutions Co., Ltd. หรือ Black Op" ไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา โดยให้บริการด้านการให้คำปรึกษาและปฎิบัติการทางธุรกิจ (Business Advisory and Operations) ภายใต้การนำทัพของ นายอมฤต ศุขะวณิช ประธานสายงานกลยุทธ์ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้และความเข้าใจในการวางแผนกลยุทธ์และการประกอบธุรกิจ มีประสบการณ์ด้านการบริหารธุรกิจและที่ปรึกษาด้านการเงินกว่า 30 ปี ซึ่งนายอมฤต ได้กล่าวเสริมว่า Black Op จะเป็นทางออกในการแก้ปัญหาด้านการวางแผน และการปฏิบัติการสำหรับธุรกิจขนาดกลาง เพราะทีมงานจะทำงานเคียงคู่ไปพร้อมๆ กับเจ้าของธุรกิจ เสมือนเป็นพนักงานของบริษัทเอง และพร้อมเป็นหน่วยจู่โจมพิเศษในการ ดำเนินงานให้บริษัทได้สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย
ทั้งนี้ Black Op มีกลยุทธ์ที่เรียกว่า 3M แบ่งออกเป็นแกนใหญ่ๆ คือ
1. MEDIUM size business Black Op จะมุ่งเน้นไปที่การให้บริการบริษัทขนาดกลาง เพราะเป็นกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด ในขณะที่บริษัทขนาดเล็กนั้นเจ้าของสามารถทำธุรกิจด้วยตัวเองได้ และบริษัทขนาดใหญ่มีความพร้อมทางด้านบุคลากรและการเงิน ส่วนบริษัทขนาดกลางจำเป็นต้องดิ้นรนเพื่อทำให้บริษัทมีมาตรฐานสูงขึ้นเพื่อที่จะได้เติบโตได้ เจ้าของบริษัทยังต้องทำงานทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน ไม่สามารถโฟกัสไปที่การทำธุรกิจหลักของตนได้ Black Op จึงเป็นผู้ให้บริการในการช่วยเหลือบริษัทเหล่านี้
2. MAXIMIZE opportunities Black Op จะเป็นผู้ให้คำปรึกษาและลงมือปฏิบัติงานเพื่อก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่บริษัทนั้นๆ ให้สามารถเก็บเกี่ยวโอกาสทางธุรกิจได้อย่างเต็มที่ และเป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างธุรกิจต่อธุรกิจ (Business to Business) เอื้ออำนวยให้ธุรกิจขนาดกลางสามารถบริหารจัดการงานได้เทียบเท่าเสมือนกับบริษัทขนาดใหญ่ภายใต้ต้นทุนหรือค่าบริการที่ย่อมเยาที่บริษัทสามารถจ่ายได้
3. MAKE MONEY for clients งานของ Black Op ครอบคลุมถึง การเงิน การบัญชี การวางแผนและทำการตลาด การบริหารพนักงาน รวมถึงวิเคราะห์หาวิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับธุรกิจแบบครบวงจรผ่านบุคคลากรและทีมงานที่มีความสามารถและประสบการณ์ในหลายด้านของธุรกิจ เพื่อให้บริษัทมีผลกำไรเพิ่มขึ้น และรายจ่ายที่ลดลง
นายอมฤต คาดการณ์ว่าภายในสิ้นปี 2566 นี้ Black Op จะสามารถรองรับลูกค้าที่เข้ารับบริการได้ไม่น้อยกว่า 15 บริษัท และจะสามารถปั้นธุรกิจขนาดกลางเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ใน 2-3 ปีข้างหน้าได้ไม่น้อยกว่า 5 บริษัทอย่างแน่นอน