นายวีระ บูรพชัยศรี ประธานกรรมการบริหาร และรักษาการกรรมการผู้จัดการ บมจ.เมโทรสตาร์ พร็อพเพอร์ตี้(METRO) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทจะมีการพิจารณาในการปรับราคาขายบ้านอีกครั้งในช่วง 2-3 เดือนจากนี้ หลังจากที่ได้ปรับขึ้นไปแล้ว 10% ในเดือนเม.ย. รวมทั้ง จะมีการเจรจากับซัพพลายเออร์เพื่อทำสัญญาซื้อวัสดุก่อสร้างในระยะยาว 1 ปี เพื่อรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ในระดับเดียวกับปีก่อนที่ 30%
"ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นสูง ส่งผลให้ต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 25-30% แต่อย่างไรก็ตาม การปรับราคาก็จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพราะการแข่งขันใสตลาดขณะนี้ค่อนข้างสูง"นายวีระ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทจะเน้นการปรับขึ้นราคาขายในโครงการใหม่เป็นส่วนใหญ่ เพราะเป็นต้นทุนที่เกิดขึ้นใหม่ โดยเฉพาะโครงการใหม่ที่จะเปิดในช่วงไตรมาส 4/51 ประมาณ 2-3 โครงการมูลค่าโครงการละประมาณ 1 พันกว่าล้านบาท เน้นคอนโดมิเนียมในทำเลย่านรถไฟฟ้า
ส่วนโครงการที่ดำเนินอยู่ ได้แก่ โครงการเมโทร อเวนิว-สุขุมวิท 66 ที่มีมูลค่าโครงการ 1.3 พันล้านบาท โครงการเมโทรอเวนิว-รัชโยธินมูลค่าโครงการ 1.6 พันล้านบาทก็จะพิจารณาปรับด้วย
นายวีระ กล่าวอีกว่า การตัดขายที่ดินย่านสาทร 2 แปลง มูลค่า 962 ล้านบาท และการขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 2.3 พันล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะทำให้บริษัทมีทุนหมุนเวียนเพื่อใช้ลงทุนเพียงพอต่อไปอย่างน้อยอีกเป็นปี โดยไม่จำเป็นต้องเร่งรีบหาพันธมิตรเข้ามาร่วมทุน
"เราคงชะลอการหาพันธมิตรไปก่อนในตอนนี้เพราะเราเห็นจังหวะและโอกาสที่เราน่าจะทำได้เองตอนนี้แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้นอะไรกันพันธมิตรที่จะเข้ามาในอนาคต ทั้งการจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์กับขายที่ดินไปทำให้มีสถานะไปถึงปีได้สบาย แต่ก็ต้องคิดให้รอบเหมือนกันกับเม็ดเงินที่ได้มา"นายวีระ กล่าว
บริษัทปรับแผนการทำธุรกิจด้วยการบริหารเองทั้งในการจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์วงเงินประมาณ 2.3 พันล้านบาทที่เบื้องต้นคาดว่าจะนำเซอร์วิส อาพาร์ทเม้นท์ "สาธร วีสต้า"ขายให้เป็นสินทรัพย์กองทุน เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะให้ความสนใจในกองทุนอสังหาฯของบริษัท เนื่องจากเป็นช่วงที่ดอลลาร์อ่อนค่าทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนทั้งประเภทพันธบัตรและกองทุนอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีความเสี่ยงน้อยขณะที่ผลตอบแทนสูง ขณะเดียวกันก็จะส่งผลดีต่อบริษัทที่สามารถขายหน่วยลงทุนในระดับราคาในระดับที่ดีด้วย
นายวีระ กล่าวว่า การเติบโตของรายได้ในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 3 พันล้านบาท ซึ่งมาจากการขายสินทรัพย์ให้กองทุนอสังหาริมทรัพย์ และยอดขายที่มาจากโครงการเซ็นหลุยส์ แกรนด์เทอเรส โครงการบ้านรวิภา-สุขุมวิท 103 รวมประมาณ 600 ล้านบาท ส่วนการขายที่ดินเป็นรายการพิเศษที่คงจะไม่เข้ามาในปีนี้
อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่กังวลการเข้ามาซื้อหุ้นของต่างประเทศ ก็คงพิจารณาถึงวัตุถุประสงค์ในการเข้ามาว่าเป็นการถือลงทุนปกติ หรือใช้ในการลงทุนเพื่อต้องการทำธุรกิจร่วมกัน
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--