นายเสริมสิน สมะลาภา ประธานกรรมการบริหารบมจ. แนเชอรัล พาร์ค(N-PARK) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาไกล่เกลี่ยกับบริษัท ไทยสมุทร์ประกันชีวิต จำกัด ซึ่งคาดว่าจะสามารถเจรจาไกล่เกลี่ยได้ภายใน 4-5 เดือนข้างหน้านี้ โดยบริษัทจะทยอยใช้หนี้ที่มีอยู่จำนวน 200 ล้านบาทรวมดอกเบี้ย สำหรับเรื่องเงินทุนไม่มีปัญหา
"ตอนนี้เราอยากไกล่เกลี่ยกับไทยสมุทร์ฯ ให้จบเพราะหากแก้ไขได้ เราก็จะสามารถกู้เงินจากธนาคารเพื่อมาพัฒนาโครงการได้ง่าย แต่ในการใช้หนี้กับไทยสมุทร์ฯ เราคงจะขอทยอยจ่ายมากกว่าและหากคดีไกล่เกลี่ยได้ เราก็มีโครงการที่เราทำ 2-3 โครงการ เพียงแต่ให้คดีความตรงนี้จบเท่านั้น"นายเสริมสิน กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะขายหุ้น บมจ.แสนสิริ (SIRI)ที่ปัจจุบันถืออยู่ 62.72 ล้านหุ้น และบมจ. ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น (SYNTEC) ที่เหลือถือ 190 ล้านหุ้น เพื่อนำเงินมาใช้หนี้ธนาคารกรุงไทย(KTB) หลังจากบริษัททยอยใช้หนี้ที่มีกับธนาคารเรื่อยมาจนเหลือจำนวน 860 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม ในการขายหุ้นทั้งสองบริษัทมีเงื่อนไขว่าจะต้องได้ราคาสูงกว่าที่ซื้อมา
ขณะเดียวกันบริษัทยังเหลือหุ้น บมจ.รถไฟฟ้ากรุงเทพ(BMCL)ในมือจำนวน 130 ล้านหุ้น เป็นล็อตสุดท้ายที่จะหมด Silent Period ในวันที่ 30 ก.ย.51 ซึ่งจะสามารถนำเงินมาใช้หนี้ได้เหมือนกัน
นายเสริมสิน กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ ยอมรับว่าคงยังไม่สามารถทำกำไรได้ เนื่องจากปีนี้มีเพียงเซอร์วิส อพาร์ทเมนท์ ที่สุขุมวิท 49 เพียงโครงการเดียวที่สร้างรายได้ให้บริษัท
ขณะที่อีก 3 โครงการอยู่ระหว่างพัฒนา ประกอบด้วย โครงการโนโวเทล บีช รีสอร์ท พันวา ภูเก็ต ซึ่งจะสร้างเสร็จในปีนี้, โรงแรมสยามและเซอร์วิส อพาร์ทเมนท์ สร้างเสร็จราวกลางปี 52, โครงการร้อยชักสาม เสร็จราวปี 52 เช่นกัน ดังนั้น กว่าที่จะเริ่มเห็นกำไรได้คงจะเป็นในช่วงปลายปี 52 ซึ่งหลังจากมีกำไรแล้ว บริษัทก็จะทยอยล้างขาดทุนสะสม
นายเสริมสิน กล่าวว่า ที่ผ่านมามีพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศขอเจรจาซื้อหุ้นที่บริษัทถืออยู่ในโครงการโรงแรมสยามฯในสัดส่วน 35% แต่บริษัทคงจะต้องพิจารณาเนื่องจากปัจจจุบันบริษัทมีกลุ่มทุนบาห์เรนให้การสนับสนุนเรื่องเงินทุนอยู่แล้ว โดยร่วมถือหุ้นในโครงการนี้ 40%
ส่วนโครงการร้อยชักสาม ซึ่งยังติดปัญหาการย้ายผู้อาศัยเดิม บริษัทได้มีการแก้ไขโดยสร้างอาคารทดแทนให้ผู้อาศัยเดิมแล้ว
นายเสริมสิน กล่าวยืนยันว่า ไม่มีใครเข้ามาเจรจาดีลทำแบ็คดอร์ลิสติ้งอย่างที่มีข่าวลือ เพราะบริษัทยังมีคดีความอยู่
"เรายังมีคดีความที่อยากไกล่เกลี่ยให้ได้ เพราะเป็นปัญหาหลักที่เราอยากรีบแก้ไข และคงไม่มีใครเสี่ยงเอาเงินมาลงทุนในบริษัทซึ่งมีปัญหาและขาดทุนสะสมเยอะ"นายเสริมสิน กล่าว
ส่วนการเข้ามาถือหุ้นของกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ อย่าง จึงรุ่งเรืองกิจ, จุฬางกูร, และนางสาวฉัตรสุดา เบ็ญจนิรัตน์ รวมถึงเสี่ยสอง คงเป็นการเข้าเก็งกำไรทั่วไป เพราะเป็นการซื้อขายโอนหุ้นกันเองในกลุ่ม
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/นิศารัตน์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--