ราคา KBANK ลดลง 3.37% หรือลดลง 4.50 บาท มาที่ 129.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 2,845.87 ล้านบาท เมื่อเวลา 11.26 น. จากราคาเปิด 134.50 บาท ราคาสูงสุด 135.00 บาท ราคาต่ำสุด 129.00 บาท
ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ในงวดครึ่งปีแรกปี 66 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 21,735 ล้านบาท ลดลง 1.22% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยธนาคารยังคงดำเนินการตามหลักความระมดัระวังอย่างสม่ำเสมอในการพิจารณาตั้งสำรองผลขาดทุนดานเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss : ECL) ตามแนวทางที่ธนาคารมีการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์เชิงรุกอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการจัดการลูกค้าธุรกิจรายใหญ่รายหนึ่งที่เริ่มมีสัญญาณความเสื่อมถอยในไตรมาสก่อน และได้มีสำรองฯครบถ้วนแล้วในไตรมาส 1/66
โดยแม้สินเชื่อดังกล่าวถูกจัดเป็นสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตในไตรมาส 2 ธนาคารก็ยังคงมีความแข็งแกร่งจากการ เตรียมการมาก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม สำรองฯในไตรมาส 2 นี้ แม้ว่ายังคงอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 32.77% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกนัของปีก่อน แต่มีความใกล้เคียงกับที่ธนาคารได้ประมาณการไว้ก่อนหน้า เพื่อรองรับสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และปัจจัยทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ยังส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศยังไม่กระจายตัวทั่วถึง และส่งผลต่อลูกค้าบางกลุ่มที่มีความเปราะบาง
กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนดานเครดิตทีคาดวา จะเกิดขึ้และภาษีเงินได้มีจำนวน 54,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.73% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ของธนาคารและทิศทางอตัราดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ร่วมกับการบริหารจัดการค่าใช้ข่ายที่มีประสิทธิภาพสม่ำเสมอ
ในไตรมาส 2/66 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 10,994 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 2.36% สำหรับกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนดานเครดิตที่คาดวา จะเกิดดขึ้นและภาษีเงินได้มีจำนวน 27,223 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน โดยรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นนหลักๆ จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เติบโตขึ้น
ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการให้บริการลูกค้า ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายไดจ้ากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ 43.37% ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 42.50%