นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBAM) เปิดเผยว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายประเทศยังมีการขยายตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป เห็นได้จากตัวเลขดัชนีทางเศรษฐกิจที่ยังออกมาดีกว่าที่คาด ควบคู่กับเงินเฟ้อที่เริ่มชะลอตัวลง ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงปลายเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา จนปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 5.25%-5.50% ซึ่งสูงสุดในรอบ 22 ปี แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นโดยรวมมากนัก
หากมองในมุมของการลงทุนแล้ว บริษัทฯ มองว่ายังสามารถทยอยเข้าสะสมหรือลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยงหรือหุ้น ในช่วงรอจังหวะการฟื้นตัวของตลาดหุ้นได้ แม้ยังมีโอกาสเกิดความผันผวนจากปัจจัยความตึงเครียดต่อสถานการณ์ความขัดแย้งและการแข่งขันทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และจีน หรือการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางหลักบางประเทศ รวมถึงความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ที่เป็นผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว บริษัทฯ
บริษัทจึงแนะให้มีการกระจายความเสี่ยงในช่วงครึ่งหลังของปี รวมถึงมองหากลยุทธ์การลงทุนที่สามารถปรับพอร์ตการลงทุนให้สมดุลเหมาะกับทุกสภาวะตลาด เพื่อลดความผันผวนระยะสั้นได้ บริษัทฯ จึงได้ประสานความร่วมมือกับทีมผู้จัดการกองทุนของบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ (จูเลียส แบร์) ที่มีความชำนาญการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่ง จูเลียส แบร์ เป็นบริษัทจัดการของสวิตเซอร์แลนด์ที่ดำเนินธุรกิจใน 30 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมการลงทุนมากกว่า 250 Active Funds และ 500 Passive Funds จึงเปิดเสนอขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Global Allocation (SCBGA) สามารถเข้าลงทุนด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท ซึ่งจะเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรกระหว่างวันที่ 8-22 สิงหาคม 2566 และสามารถซื้อได้ในทุกช่องทางรวมถึงผู้สนับสนุนการขายทุกราย
กองทุน SCBGA มีกลยุทธ์การลงทุนแบบผสมผสานในลักษณะ Core & Satellites ผ่านผู้เชี่ยวชาญระดับโลกบริหารและกระจายการลงทุน โดยกองทุนจะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนต่างประเทศอย่างน้อย 2 กองทุน โดยแบ่งเป็น
(1) ลงทุนใน JB Dynamic Asset Allocation Fund เป็นกองทุนหลัก (Core Fund) ซึ่งเป็นกองทุน Flagship ของ Julius Baer ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น และได้รับ Overall Rating 5 ดาวจาก Morningstar ประเภท USD Moderate Allocation (ที่มา: Morningstar ณ 31 พ.ค. 2566) กระจายลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ และ/หรือสินทรัพย์ทางเลือก ซึ่งมีสภาพคล่องสูงและรองรับการปรับพอร์ตได้รวดเร็ว จึงมีโอกาสสร้างการเติบโตให้พอร์ตลงทุนได้เหมาะสมตามสภาวะตลาด โดยมีสัดส่วนการลงทุนประมาณ 60-70% ของกองทุน
และ (2) ลงทุนในกองทุนเสริม (Satellite Fund) อีกประมาณ 30-40% ในกองทุนที่คัดเลือกมาจากบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำระดับโลกที่มีธีมการลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มเติบโต เช่นกองทุนตราสารหนี้คุณภาพดีที่สอดคล้องกับ Julius Baer house views หรือลงทุนในภูมิภาค เช่นกองทุนหุ้นปันผลในภูมิภาคเอเชีย หรือลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ เช่นกองทุนหุ้นกลุ่ม Defensive Quality / Value ซึ่งมีคุณภาพดี และมีความผันผวนน้อย เป็นต้น เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มสมดุลให้กับพอร์ตลงทุน จึงช่วยลดโอกาสการขาดทุนจากความผันผวนของตลาดในระยะสั้น และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว
"กองทุน SCBGA มีความน่าสนใจ จากที่กองทุนหลัก (Core Fund) มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น เมื่อเทียบกับกองทุนอื่นในประเภท Global Allocation โดยผลงานพอร์ตลงทุนของกองทุนหลักได้สะท้อนมุมมอง Julius Baer house views ของ Chief Investment Officer และทีมลงทุนที่เชี่ยวชาญ ซึ่งมีกระบวนการลงทุนที่เป็นขั้นตอนและมีการบริหารความเสี่ยงที่เข้มข้นในการคัดเลือกสินทรัพย์ที่หลากหลาย เน้นปรับสัดส่วนสินทรัพย์ที่เข้าลงทุนในพอร์ตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังสร้างความยืดหยุ่นด้วยกองทุนเสริม (Satellite Fund) ที่สามารถปรับพอร์ตให้เหมาะกับแต่ละสภาวะตลาด เพื่อลดโอกาสการขาดทุนจากความผันผวนของตลาดระยะสั้น จึงทำให้กองทุน SCBGA เป็นกองทุนที่สามารถตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงการลงทุนทั้งในระยะสั้น-กลาง รวมถึงต้องการสร้างการเติบโตให้พอร์ตในระยะยาวได้"นางนันท์มนัส กล่าว