นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เปิดเผยว่า วันนี้บริษัทได้ลงนามการพัฒนาโครงการ อนันตรา เส้าซิง รีสอร์ท (Anantara Shaoxing Resort) บนเนินเขาไคว่จี (Kuaiji) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของมณฑลเจ้อเจียง (Zhejiang) ของจีน ร่วมกับบริษัท ฟันยาร์ด ไมเนอร์ เจวี (ประเทศจีน) ซึ่งเป็นพันธมิตรกิจการร่วมค้าในประเทศจีน
โครงการดังกล่าวจะเป็นศูนย์กลางสุขภาพแบบองค์รวมของเมืองเถาหยวนลี่ (Taoyuanli Health and Wellness Town) ซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ยูสครบวงจรที่มีทั้งสวนแนวราบ สนามเด็กเล่น ร้านอาหารระดับโลก ซุปเปอร์มาร์เก็ตสินค้าออร์แกนิก พื้นที่รับประทานอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสุขภาพแบบองค์รวมครบวงจรสำหรับทุกช่วงวัย ซึ่งรีสอร์ทจะเปิดให้บริการในปี 67 นี้ จะกลายเป็นแบรนด์รีสอร์ทระดับนานาชาติแห่งแรกในเส้าซิง
นายชัยพัฒน์ กล่าวว่า แผนธุรกิจในปี 66-68 บริษัทคงเป้ารายได้เติบโต 12-15% โดยมีแผนจะเปิดโรงแรมเพิ่มอีก 75 โรง รวมจำนวนห้องพัก 13,696 ห้อง โดยจำนวน 8 โรงแรมจะเป็นโรงแรมที่มีบริษัทเป็นเจ้าของหรือเช่าบริหาร ส่วนที่เหลือเป็นโรงแรมภายใต้สัญญารับบริหาร โดยใช้งบลงทุนราว 10,000-12,000 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการในปีนี้คาดว่าครึ่งปีหลังจะเติบโตต่อเนื่อง ได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการเดินทางเพิ่มพักผ่อนและการเดินทางเพื่อธุรกิจ ซึ่งยังเป็นช่วง High season ของธุรกิจโรงแรมในยุโรป และในไตรมาส 4/66 ซึ่งเป็นช่วง High season ของธุรกิจโรงแรมในไทยและมัลดีฟ ขับเคลื่อนผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง
ด้านธุรกิจร้านอาหารในไตรมาส 2/66 ยอดขายรวมทุกสาขาอยู่ที่ 7,715 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) จากการพัฒนาด้านธุรกิจและการเปิดสาขาใหม่ทั้งในไทยและจีน โดยยอดขายต่อร้านเดิม (SSSG) เติบโต 8% YoY โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหารในจีนที่มียอดขายต่อร้านเดิมเติบโต 98.5% YoY หลังจากจีนยกเลิกมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้จำนวนลูกค้าที่นั่งรับประทานอาหารในร้านและยอดขายต่อร้านเดิมฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศไทยยังคงเป็นปัจจัยหลักสำหรับการเติบโตของธุรกิจบริษัทในไทย แม้ว่านักท่องเที่ยวจากประเทศจีนยังคงฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด บริษัทเชื่อมั่นว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ทั้งนี้อัตราการเข้าพักของธุรกิจโรงแรมในไทยและราคาห้องพักเฉลี่ยอยู่ที่ในระดับที่สูงกว่าที่บริษัทคาด และในช่วงไตรมาส 4/66 คาดว่าอัตราการเข้าพัก (Occupancy rate) จะสูงกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19 ซึ่งอยู่ที่ 73%