นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.อิชิตัน กรุ๊ป (ICHI) กล่าวว่า บริษัทฯ เดินหน้าปรับกลยุทธ์หันจ้างผลิตสินค้า (OEM) เพื่อรับมือสถานการณ์สินค้าขาดสต็อก หลังจากขายดีอย่างมาก สร้างปรากฎการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา คาดว่าจะสามารถเริ่มผลิตได้ในเดือนก.ย.66 เป็นต้นไป
"โดยปกติแล้วสินค้าของเราจะขายดีในช่วงฤดูร้อน เดือนมี.ค. จนถึงเดือนเม.ย. และเริ่มอ่อนตัวลงในเดือนพ.ค. ซึ่งเข้าฤดูฝน แต่ปีนี้ไม่เหมือนกับปีก่อนๆ เนื่องจากเดือนพ.ค. ก็ยังขายดี และมิ.ย. ก็ยังมียอดขายที่เพิ่มขึ้นอยู่ ทำให้เราผลิตไม่ทัน แม้จะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 100 ล้านขวดต่อเดือน แต่ของก็ยังส่งไม่ทัน ถือเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จากหลายๆ สาเหตุ" นายตัน กล่าว
นี้สาเหตุหลักที่ทำให้สินค้า ICHI ขายดีนั้น มาจากอากาศที่ร้อนต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ประกอบกับตลาดชาเขียวยังคงเติบโตต่อเนื่อง สนับสนุนให้สินค้าหลายตัวขายดี ไม่ว่าจะเป็น น้ำด่าง, ชาเขียว, เย็น เย็น รวมไปถึงสินค้าใหม่ อย่าง ตัน ซัน ซู เครื่องดื่มโซดา 2 รสชาติ ได้แก่ โซจูบอมบ์ (รสชาติเบียร์ผสมโซจู) และโซจูโยเกิร์ต เป็นต้น
ส่วนกระแสข่าวบนโซเชียลมีเดีย ที่ระบุถึงสาเหตุสินค้าอิชิตันขายดีมาจากความนิยมในสายเขียวนั้น มองประเด็นดังกล่าวอาจเป็นความจริงส่วนหนึ่ง หรือเป็นเพียงการพูดติดตลกของชาวเน็ต แต่ยืนยันว่าไม่ได้เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ยอดขายของบริษัทพุ่งเกินคาด แต่มาจากปัจจัยอื่น โดยเฉพาะการออกสินค้าใหม่ขายดีและอากาศร้อนจัด
อย่างไรก็ตามยอมรับว่าจากเหตุการณ์ดังกล่าวอาจกระทบกับยอดคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ของร้านค้าบ้าง แต่ยืนยันว่าจะผลิตสินค้า เพื่อส่งมอบให้กับร้านได้ครบทุกร้าน แม้ว่าจะอาจไม่ได้ครบจำนวนตามออเดอร์ โดยบริษัทจะมุ่งเน้นบริหารกระจายสินค้าให้กับร้านค้าอย่างเท่าเทียม
สำหรับผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้ บริษัทคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก แม้สินค้าจะขาดสต็อกไปบ้าง แต่ยังส่งมอบร้านค้าได้ต่อเนื่องหลังจากปรับแผนมาจ้าง OEM แล้ว และไตรมาส 3/66 ก็คาดยอดขายจะทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) จากเห็นยอดขายในเดือนก.ย.-ส.ค.66 เติบโตค่อนข้างมาก อีกทั้งบริษัทฯ ก็เตรียมออกสินค้าใหม่ภายใต้แบรนด์ ตัน ซัน ซู ในเดือนก.ย.นี้ด้วย
นอกจากนี้บริษัทยังใช้งบลงทุนด้านการตลาดน้อยลง จากหันไปมุ่งทำตลาดออนไลน์มากขึ้น ซึ่งใช้งบลงทุนน้อยกว่าการทำตลาดบนทีวีและได้ผลดีกว่า ทำให้ต้นทุนต่ำลง กำไรมากขึ้น ทำให้บริษัทมั่นใจว่ายอดขายในปีนี้จะเติบโตแตะ 7.6 พันล้านบาทตามเป้าหมายที่วางไว้ หลังจากครึ่งปีแรกทำได้แล้วถึง 3,882.78 ล้านบาท โดยยืนยันว่าสินค้าหมดสต็อกจะไม่กระทบต่อยอดขายรวม เป็นเพียงเสียโอกาสที่จะเพิ่มยอดขายให้ทะลุเป้าหมายเท่านั้น
บริษัทยังทุ่มงบลงทุนราว 460 ล้านบาทซื้อเครื่องจักรใหม่ที่คาดจะเริ่มผลิตได้ในต้นปี 67 ซึ่งจะหนุนกำลังการผลิตเพิ่มอีก 200 ล้านขวด/ปี เป็น 1,600 ล้านขวด/ปี จากปัจจุบันราว 1,400 ล้านขวด/ปี เพื่อรองรับกับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง