นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยในงาน Thailand Focus 2023 ภายในหัวข้อ "Thai capital market towards the new horizin : ตลาดทุนไทยสู่บริบทใหม่" ว่า จะต้องทำให้ประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลาง จุดรวมของการลงทุน ถ้าไทยไม่มีผู้เชี่ยวชาญในประเทศเพียงพอ ก็ต้องดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ต้องทำให้ไทยพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของเอเชีย โดยประเทศไทยนั้นถือว่ามีความโชคดี เพราะอยู่ในตำแหน่งที่ดี ที่ช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจของประเทศก้าวหน้า ซึ่งจะต้องใช้จุดแข็งตรงนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จากการเข้าร่วมแข่งขันในระดับภูมิภาคและในระดับโลก
อย่างไรก็ตามเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและตลาดทุนของไทย จากการมีรัฐบาลใหม่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่ได้รับเลือกก็มาได้ถูกจังหวะ เพราะนายเศรษฐา ทวีสิน เองมาจากภาคเอกชน ทำให้เชื่อว่านายเศรษฐา จะสามารถนำพาประเทศไปได้ในอีกระดับหนึ่ง โดยเฉพาะการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
สำหรับภาพรวมการลงทุนของไทย การลงทุนแบบอนุรักษ์นิยมของไทยยังให้ผลตอบแทนที่ดีกับตลาดทุนไทย การส่งออก แม้การส่งออกของประเทศอื่นๆ ลดลง 18-20% แต่ของไทยลดลงแค่ 5% ถือได้ว่าภาคการส่งออกของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เมื่อเทียบกับประเทศอื่น อย่างประเทศเวียดนามที่ประสบปัญหาการส่งออกลงลดมากอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่อัตราเงินเฟ้อก็ถือว่าต่ำมาก อยู่ที่ 0.2-0.3% ซึ่งต่ำที่สุดในโลก ทำให้ประเทศไทยไม่ต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมากนัก หรืออาจจะเพิ่มขึ้นแค่ 2.25-2.5% เทียบกับสหรัฐฯ ที่ขึ้นดอกเบี้ยถึง 6% โดยอัตราดอกเบี้ยของไทยถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ และธนาคารต่างๆ ก็มีผลประกอบการอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
ส่วนความเสี่ยงที่ไทยต้องเผชิญ คือจะสามารถคว้าโอกาสที่เปิดอยู่ได้หรือไม่ จะแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้มันหรือไม่ ในสถานการณ์ที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยปรับตัวได้รวดเร็วพอหรือไม่ จะแย่งส่วนแบ่งมาได้หรือไม่
นาย Chate Benchavitvilai, Portfolio Manager บริษัท เจพี มอร์แกน แอสเสท แมเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า ในส่วนที่อยากจะขอรัฐบาลใหม่ คือ การคำนึงถึงความเท่าเทียม ให้ความยุติธรรมกับทั้งบริษัท นักลงทุน ผู้ถือหุ้นทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอยู่ภายใต้ธรรมาภิบาลและกฎระเบียบที่ถูกต้องและชัดเจน ต่อไปก็คือความโปร่งใส การเปิดเผยข้อมูลของบริษัทต่อนักลงทุน ซึ่งจะช่วยนักลงทุนใช้เป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจลงทุน และสุดท้ายก็คือความรับผิดชอบต่อการจัดการ รวมถึงความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นด้วย
นายศุภโชค ศุภบัณฑิต กรรมการผู้จัดการ บล.เกียรนาคินภัทร กล่าวว่า แม้ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีการจัดการกับปัญหาผ่านมาตรการป้องกัน โดยให้บริษัทจดทะเบียนมีการเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลการซื้อขาย แต่ตนต้องการให้มีการดำเนินการให้เร็วขึ้น และให้จัดการกับคนที่กระทำความผิดจริง หรือเข้มงวดกับกฎระเบียบมากขึ้น แต่ก็ไม่เข้มงวดมากเกินไป และนอกจากการป้องกัน คือ การใช้กฎหมายลงโทษผู้กระทำความผิด คนที่ทำผิดจริงต้องได้รับโทษ และต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว
โดยโทษของไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นถือว่าน้อยมาก และขั้นตอนการดำเนินคดีก็ใช้เวลานานมาก จึงอยากให้รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องช่วยแก้ไขผลักดันให้มีการดำเนินคดีที่รวดเร็วขึ้น และเอาผิดผู้กระทำความผิดได้จริง แต่ไม่ทำให้คนที่ไม่ได้ทำผิดต้องพบกับความยุ่งยากในการทำธุรกิจ
"ต้องการเห็นบริษัทไทยไปต่างประเทศ ทางการก็ต้องแข่งขันด้วยเช่นกัน หน่วยงานของไทยก็ต้องปรับตัวให้ทันสมัยด้วยเช่นกัน ทุกคนต้องร่วมกัน ต้องลงมือให้เร็วขึ้น เราต้องไล่จับคนที่ตั้งใจกระทำผิดให้ได้ และปรับปรุงบ้านทีหลังได้" นายศุภโชค กล่าว