นายบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) คาดกรอบดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้อยู่ประมาณ 1,590-1,620 จุด EPS Growth 90 บาท/หุ้น ด้าน P/E 17 เท่า โดยหุ้นที่น่าสนใจเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมทั้งกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว อาทิ โรงแรม โรงพยาบาล และการบริโภคในประเทศ
โดยความชัดเจนการเมืองในประเทศส่งผลบวกให้ดัชนีตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตามมี 3 ปัจจัยที่ต้องติดตามซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ได้แก่ ความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐมนตรี นโยบายหรือมาตรการของแต่ละกระทรวง เพื่อแสดงถึงทิศทางของเศรษฐกิจไทย, นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจไทยฟื้นจากภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศยังไม่ได้ตามเป้าที่คาดการณ์ไว้ รวมทั้งการส่งออกของไทยยังชะลอตัว จึงคาดหวังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นเพื่อประคอง ขณะเดียวกันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว ซึ่งจะแสดงให้เห็นภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยว่าจะเติบโตได้มากเท่าใด
ส่วนนายยิ่งยง เจียรวุฑฒิ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน บลจ.อีสท์สปริงฯ กล่าวว่า ในช่วงต่อจากนี้การลงทุนยังมีความผันผวนจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัวแต่อาจไม่ถึงกับถดถอย ขณะที่เศรษฐกิจจีนถึงแม้จะเติบโตต่ำกว่าคาด แต่เริ่มเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการคลังเริ่มทยอยออกมา ในส่วนของเงินเฟ้อที่กดดันธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกในปีที่ผ่านมา ทำให้ต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อชะลอเงินเฟ้อ ซึ่งในปีนี้เงินเฟ้อเริ่มเห็นการชะลอตัวอย่างชัดเจน ส่งผลให้ปีนี้โดยเฉพาะไตรมาส 3/66 อาจเป็นการจบรอบของดอกเบี้ยขาขึ้นโดยเฉพาะฝั่งของสหรัฐ และอาจรวมถึงยุโรปด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ประเมินว่าเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงอีกสักระยะ ทำให้ภาพของเศรษฐกิจโลกอาจเป็นลักษณะของการชะลอตัว
สำหรับการลงทุนในช่วงที่เหลือของปี การลงทุนยังมีความน่าสนใจ แต่ด้วยระดับราคาที่ขึ้นมาพอสมควรอาจต้องมีการกระจายการลงทุนให้มากยิ่งขึ้น เพื่อลดการกระจุกตัวในการลงทุนในสินทรัพย์ใดเพียงอย่างเดียวหรือตลาดใดเพียงอย่างเดียว
"หากไปดูภาพของการลงทุนเราเริ่มเห็นการหยุดปรับประมาณการกำไรลดลงของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะสหรัฐฯและยุโรปที่เริ่มมีการปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้น ขณะที่ระดับมูลค่าการซื้อขาย (P/E) บางดัชนีของตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มสูงขึ้น แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยที่เป็น Fair Value เช่น ตลาดหุ้นโลก ตลาดหุ้นเอเชีย และยังมีบางตลาดที่ถือว่าอยู่ในระดับที่ยังถูกกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง เช่น ตลาดหุ้นยุโรป และตลาดหุ้นเวียดนามเป็นต้น" นายยิ่งยง กล่าว