มุมมองการลงทุนในเดือนกันยายนตามสถิติแล้วนั้นจะเป็นเดือนที่ได้ฉายาว่า "กันยาสีแดง" ซึ่งตลาดมีแนวโน้มจะพักตัวและมีการเทขายเพราะว่า ปิดไตรมาส 3 อย่างไรก็ตาม มองว่าตัวเลขภาคแรงงานของประเทศอเมริกาที่ออกมาล่าสุดแสดงให้เห็นว่าเริ่มอ่อนตัวลงแล้ว ปัจจัยนี้อาจสามารถทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) พิจารณาไม่ขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงไปต่อ บวกกับปัจจัยในตลาดคริปโทฯ ช่วงเดือนกันยายนและตุลาคมจะมีวันตัดสินการอนุมัติเปิด Bitcoin Spot ETF ของหลาย ๆ บริษัทต่อ US SEC
ทั้งนี้ มองว่ามีโอกาสที่จะได้เห็นตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลวิ่งแรงกว่าตลาดหุ้น หากมีการอนุมัติเกิดขึ้นในเดือนกันยายนนี้ แต่หากมีการปฏิเสธอาจจะทำให้ราคา Bitcoin ถูกเทขายตามข่าวเล็กน้อย อย่างไรก็ตามบริษัทต่าง ๆ ยังมีเวลาที่จะขอยื่นใหม่ได้เรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดเวลาในเดือนมีนาคม 2567
ดังนั้นการพิจารณาเข้าลงทุนในช่วงนี้ถือว่ามี Risk Ratio ค่อนข้างคุ้มค่า โดยมีอัตราส่วน Bitcoin MVRV ratio อยู่ที่ 1.37 (ข้อมูลจาก Glassnode ณ วันที่ 31สิงหาคม 2566) และควรเน้นสัดส่วนใหญ่ในพอร์ตเป็น Bitcoin เนื่องจาก Bitcoin Dominance ratio อยู่ที่ 49.7% (ข้อมูลจาก Tradingview ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2566) เพื่อลด Drawdown ของพอร์ต
โดย Bitcoin มีแนวรับต้านสำคัญที่โซนราคา 28,000 ดอลลาร์ และแนวรับที่ 25,600ดอลลาร์ ตามมาด้วย Ethereum 1,766 ดอลลาร์ เป็นโซนราคาแนวต้าน และ มีโซนราคา 1,629 ดอลลาร์ เป็นแนวรับ ซึ่งแนวต่าง ๆ ข้างต้นเป็นกรอบราคาหลัก ๆ ที่ต้องจับตามองในเดือนกันยายนนี้ (ข้อมูลจาก Cryptomind Advisory)
นายมานะ คานิโยว หัวหน้าฝ่ายบริหารงานขายและพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า โอกาสของ Bitcoin Spot ETF ที่ผ่านมาดูสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ จึงมองว่าเรื่องนี้เป็นตัวเร่ง ที่จะผลักดันเงินมหาศาลเข้ามาในโลกสินทรัพย์ดิจิทัลได้มากขึ้นและจะเป็นเหตุที่จะช่วยให้เกิด Bull run ครั้งต่อไป นอกจากนี้อาจจะได้แรงสนับสนุนจาก Bitcoin Halving ในปีหน้า รวมไปถึง สภาวะตลาด Macro ที่อาจจะขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งสุดท้ายในปีนี้ ทำให้ตลาดจะ Price in factor เหล่านี้เข้าไปแล้วเหมือนกัน