ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดตลาดรูดลงเมื่อคืนนี้ (29 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนมีท่าทีระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยในวันพฤหัสบดีที่ 30 เม.ย. นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลต่อดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐที่ดิ่งลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 39.81 จุด หรือ 0.31% แตะระดับ 12,831.94 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดรูดลง 5.43 จุด หรือ 0.39% แตะระดับ 1,390.94 จุด แต่ดัชนี Nasdaq ปิดบวก 1.70 จุด หรือ 0.07% แตะระดับ 2,426.10 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 3.66 พันล้านหุ้น เมื่อเทียบกับวันจันทร์ที่ 3.47 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 10 ต่อ 7
เฟดจะเสร็จสิ้นการประชุมในคืนวันพฤหัสบดีที่ 30 เม.ย. โดยมีการคาดการณ์ในวงกว้างว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกอย่างน้อย 0.25% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่หลังจากนั้นคาดว่าเฟดจะหยุดพักการลดดอกเบี้ยเนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงขึ้นกำลังทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเผชิญภาวะ Stagflation (ภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงแต่มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น)
สำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนของสหรัฐรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐในเดือนเม.ย.ร่วงลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 เนื่องผู้บริโภควิตกกังวลต่อราคาพลังงานและอาหารที่พุ่งสูงขึ้น และอัตราว่างงานที่ปรับตัวสูงขึ้น
จิม เฮอร์ริค นักวิเคราะห์จากบริษัทแบรด แอนด์ โค กล่าวว่า "ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ร่วงลงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ถ่วงตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบ นอกจากนี้ นักลงทุนทุกคนจับตาดูผลการประชุมเฟดและแถลงการณ์ภายหลังการประชุมของเฟด เพื่อนำมาเป็นข้อมูลบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ"
อย่างไรก็ตาม การที่ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กร่วงลง 3.12 ดอลลาร์ แตะระดับ 115.63 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากมีข่าวว่าการผลิตน้ำมันในภูมิภาคทะเลเหนือของอังกฤษเริ่มเข้าสู่ภาวะปกตินั้น ช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และช่วยพยุงดัชนีดาวโจนส์ให้ไต่ขึ้นจากระดับต่ำสุดของวันได้
ราคาน้ำมันที่ร่วงลงช่วยพยุงหุ้นกลุ่มสายการบินดีดตัวขึ้น โดยหุ้นคอนติเนนตัล แอร์ไลน์ ปิดบวก 3.5% หุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ พุ่งขึ้น 3.3% ส่วนหุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ดีดขึ้น 10.2% หลังจากนักวิเคราะห์ของซิตี้กรุ๊ปกล่าวว่า อเมริกัน แอร์ไลน์ จะสามารถทำกำไรต่อไปได้แม้ยังไม่มีข่าวการควบรวมกิจการก็ตาม
หุ้นมาสเตอร์การ์ด ร่วงลง 13% แม้บริษัทรายงานกำไรพุ่งขึ้นกว่า 2 เท่าในไตรมาสแรก ขณะที่หุ้นบริษัทคู่แข่งอย่าง วีซ่า ดีดขึ้น 6.9% หลังจากบริษัทรายงานผลกำไรพุ่งขึ้น 28%
หุ้นเมิร์ค แอนด์ โค ร่วงลงกว่า 10% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่าเจ้าหน้าที่กำกับดูแลด้านกฏระเบียบของสหรัฐไม่อนุญาตให้เมิร์คนำยาลดคอเลสเตอรอลตัวใหม่วางขายในท้องตลาด
นอกจากนี้ การร่วงลงของหุ้นหุ้นจีเนนเทค อิงค์และหุ้นไบโอเจน ไอเดค อิงค์ ถ่วงหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ลง เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังต่อผลการศึกษาโรคมะเร็ง
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--