นางสาวบี เล็ง โก๊ะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล (ANI) เปิดเผยว่า แผนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ของ ANI จำนวนไม่เกิน 554,738,900 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 30% ของจำนวนหุ้นหลัง IPO อยู่ระหว่างรอการพิจารณาอนุมัติแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
วัตถุประสงค์ของการระดมทุนครั้งนี้ก็เพื่อนำเงินไปใช้ปรับโครงสร้างทางการเงินจากการซื้อธุรกิจ GSA ในสิงคโปร์และมาเลเซียในช่วงปลายปี 2565 ตลอดจนใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เพื่อการเติบโตของบริษัทฯ ในอนาคต
ANI ประกอบธุรกิจตัวแทนขายระวางสินค้าสายการบิน (GSA) ให้แก่สายการบินชั้นนำกว่า 20 สายการบินใน 8 ประเทศ และเขตบริหารพิเศษ ประกอบด้วย ไทย สิงคโปร์ ฮ่องกง จีน เวียดนาม มาเลเซีย กัมพูชา และเมียนมา ซึ่งล้วนเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่เป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางอากาศที่สำคัญของภูมิภาค ครอบคลุมเส้นทางการบินซึ่งมีจุดหมายปลายทางกว่า 400 แห่งในทุกภูมิภาคทั่วโลก
โดย ANI ประกอบธุรกิจ GSA ในประเทศไทยมีส่วนแบ่งการตลาดรวมกว่า 23% (อ้างอิงจากข้อมูลปริมาณการขนส่งสินค้าผ่าน GSA ในปี 65 ของ Frost & Sullivan) และยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสายการบินชั้นนำอย่างยาวนานด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปีในการให้บริการที่มีมาตรฐานและมีคุณภาพ ตลอดจนมีความสามารถในการปรับกลยุทธ์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า เช่น ตัวแทนรับจัดการขนส่งสินค้า (Freight Forwarder) ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ซึ่งเป็นตัวกลางให้แก่ผู้บริโภคทอดสุดท้าย (End User) ผ่านการบริหารจัดการที่นำโดยคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์กว่า 35 ปีในอุตสาหกรรมขนส่งทางอากาศ
นอกจากนี้ ANI ยังมี Ecosystem ที่แข็งแกร่งผ่านความร่วมมือกับ บมจ.ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ (III) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ ANI และเป็นผู้นำธุรกิจโลจิสติกส์ครบวงจรของประเทศไทยที่ประกอบธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานขนส่งสินค้าเดียวกัน โดย ANI นับเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจ GSA ระดับภูมิภาครายแรกและรายเดียวที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
ปัจจุบัน ภาพรวมของอุตสาหกรรมการขนส่งสินค้าทางอากาศ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และฮ่องกง มีแนวโน้มการเติบโตในระดับสูง โดยมีอัตราการเติบโตของปริมาณการขนส่ง 7.8% ต่อปีระหว่างปี 65-70 ด้วยปัจจัยสนับสนุนเชิงบวก ทั้งแนวโน้มการเติบโตของความต้องการขนส่งสินค้า E-commerce ระหว่างประเทศและความต้องการของสินค้ามูลค่าสูงที่เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ดี ธุรกิจ GSA มีแนวโน้มการเติบโตที่สูงกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมการขนส่งสินค้าทางอากาศ ในอัตราการเติบโตของปริมาณการขนส่ง 10.3% ในช่วงปี 65-70 เนื่องจากสายการบินมีแนวโน้มในการพึ่งพาผู้ให้บริการ GSA มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการในการลดต้นทุนในการดำเนินงาน (อ้างอิงจากข้อมูลอุตสาหกรรมในประเทศไทย สิงคโปร์ ฮ่องกง เวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา จาก Frost & Sullivan)
"ธุรกิจ GSA มีบทบาทเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมการขนส่งสินค้าทางอากาศและมีศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยสายการบินมีแนวโน้มในการพึ่งพาผู้ให้บริการ GSA มากขึ้นเพื่อให้สามารถขายระวางสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถขยายการให้บริการขนส่งสินค้าของตนเองไปยังประเทศต่าง ๆ ที่ไม่ใช่สำนักงานใหญ่ โดยอาศัยผู้ให้บริการ GSA ที่มีความรู้ ประสบการณ์ และเครือข่ายกับลูกค้าในแต่ละประเทศ และสามารถดำเนินการด้วยต้นทุนที่ต่ำและรวดเร็วกว่าการจัดตั้งสำนักงานและดำเนินการด้วยตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ซึ่งสายการบินหลายแห่งให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนและหันมาใช้บริการ GSA มากขึ้น" นางสาวบี เล็ง โก๊ะ กล่าว
ANI มุ่งมั่นในการสร้างเครือข่ายสู่การเป็นผู้นำธุรกิจ GSA ในภูมิภาคเอเชีย และมีเป้าหมายในการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ของรายได้ในปี 66-68 ที่ประมาณ 30% ต่อปี (อ้างอิงจากสภาวะตลาด อัตราค่าระวาง และแนวโน้มอุตสาหกรรมในเดือน มิ.ย.66) โดยมีเป้าหมายในการจัดหาสัญญาใหม่ 6-8 สัญญาต่อปี โดย ANI มองหาโอกาสทางธุรกิจให้ครอบคลุมเขตเศรษฐกิจหลักหรือศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางอากาศของภูมิภาคเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย ในอนาคตอันใกล้ ตลอดจนการขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมภูมิภาค อื่น ๆ เช่น ยุโรป และออสเตรเลีย ในระยะยาว
อีกทั้งยังพิจารณาขยายธุรกิจผ่านการเข้าซื้อกิจการและ/หรือร่วมทุนกับบริษัทที่ประกอบธุรกิจ GSA และ/หรือ บริษัทที่ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ ของธุรกิจการขนส่งทางอากาศ นอกจากนี้ ANI อาจพิจารณาดำเนินการนำเสนอผลิตภัณฑ์ GSA ของตนเอง ผ่านทางการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ ในอนาคต เพื่อสร้างความยั่นยืนในระยะยาว
ANI มีผลประกอบการแข็งแกร่งผ่านความสามารถในการปรับกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตของผลกำไรอย่างต่อเนื่องท่ามกลางสภาวะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 65 บริษัทมีรายได้รวม 7,744.1 ล้านบาท เติบโตด้วยอัตราเฉลี่ย (CAGR) 26.5% ต่อปี และมีกำไรสุทธิ 797.6 ล้านบาท เติบโตด้วยอัตราเฉลี่ย (CAGR) 23.3% ต่อปี (CAGR 63-65) ทั้งนี้ ภายหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ANI ยังสามารถสร้างการเติบโตผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ผ่านความสามารถในการเข้าทำสัญญาให้บริการ GSA ขนาดใหญ่เพิ่มเติมในหลากหลายประเทศเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้มากขึ้น รวมทั้งกลยุทธ์ในการรักษาความสามารถในการทำกำไรจากการกำหนดราคาขายที่เหมาะสมและควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 66 มีรายได้รวม 2,668.6 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 431.9 ล้านบาท เติบโต 17.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีอัตรากำไรสุทธิที่สูงถึง 16.2% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารธุรกิจตลอดช่วงที่สภาพแวดล้อมการดำเนินธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง