นายธรรมนูญ ตรีเพ็ชร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หาญ เอ็นจิเนียริ่ง โซลูชั่นส์ (HARN) เปิดเผยว่าบริษัทคงเป้ารายได้ปี 66 โต 1,336 ล้านบาท 9.51% โดยเฉพาะธุรกิจระบบดับเพลิงและงานโครงการติดตั้งระบบดับเพลิง ซึ่งเติบโตสูงขึ้นสัมพันธ์กับการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง และในครึ่งปีหลังบริษัทยังคงมุ่งมั่นสร้างการเติบโตจากธุรกิจใหม่ที่ต่อเนื่องจากฐานเทคโนโลยีเดิมของบริษัท
แผนการเติบโตระยะยาวบริษัทตั้งเป้าจะมียอดขายทะลุ 1,500 ล้านบาท โดยเตรียมพร้อมมองหาโอกาสทำธุรกิจใหม่อย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างธุรกิจที่ได้บริษัทร่วมลงทุนกับผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ คือธุรกิจ Internet of things solutions (IoT) ที่สามารถเชื่อมต่อการทำงานกับธุรกิจอื่น ๆ ของบริษัทผ่านระบบออนไลน์ เพื่อความสะดวกในการทำงานมากขึ้น รวมทั้งใช้ความรู้ความชำนาญจากแต่ละธุรกิจมาออกแบบและพัฒนาเป็นสินค้าที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของสังคมและสิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่างเช่น ปัจจุบันบริษัทมีโครงการภายใต้ HARN Inno ประมาณ 2-3 โครงการ อยู่ระหว่างตั้งงบประมาณลงทุนในปี 67 รวมทั้งบริษัทยังได้เข้าไปเข้าไปสนับสนุนทุนวิจัยต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานวิจัยที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติสำหรับอุตสาหกรรมการแพทย์
บริษัทมองภาพรวมเศรษฐกิจครึ่งปีหลังมีแนวโน้มดีขึ้น จากความกังวลทางการเมืองคลี่คลายหลังจากได้รัฐบาลชุดใหม่เรียบร้อย รวมทั้งเห็นการทำงานของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ได้ประสานการทำงานกับรัฐบาลเดิม และผู้บริหารต่าง ๆ และนโยบายของรัฐบาลที่มีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ว่าจะมีปัจจัยนอกเหนือการควบคุม นั่นคือรายได้จากการส่งออกที่ลดลง ซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้ผู้ซื้อจากสหรัฐ ยุโรป และจีนลดลง แต่ประเทศไทยยังมีรายได้หลักมาจากการท่องเที่ยวที่เติบโตดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลก็พยายามโปรโมทการท่องเที่ยวผ่านการลงพื้นที่ และการพิจารณานโยบายฟรีวีซ่า ซึ่งน่าจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศไทย
ในไตรมาส 2/66 บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 331.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.98 ล้านบาท หรือ 10.31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมีกำไรสุทธิ 30.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.95%YoY ตามการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจในประเทศและมีการทยอยส่งมอยงานจากยอดคำสั่งซื้อค้างส่งในปี 2565 โดยปัจจุบันบริษัทมียอดสั่งซื้อจากลูกค้าค้างส่งมอบ สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 66 จำนวน 423.84 ล้านบาท