MCA จ่อเทรด mai ใน Q4/66 ดันรายได้ปีนี้โตเหนือภาพรวมเข้าเป้า 15-20%

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 7, 2023 11:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

MCA จ่อเทรด mai ใน Q4/66 ดันรายได้ปีนี้โตเหนือภาพรวมเข้าเป้า 15-20%

นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.มาร์เก็ต คอนเน็กชั่นส์ เอเชีย (MCA) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุมัตินับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบ Filing) ของบริษัทฯ ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2566 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

MCA จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 26.09% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้ และเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ในหมวดธุรกิจให้บริการ (SERVICE) ภายในปี 66

MCA ประกอบธุรกิจวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด และเป็นผู้ให้บริการจัดกิจกรรมส่งเสริมทางการตลาดที่ครบวงจร ผ่านรูปแบบของกิจกรรมการตลาดภาคสนาม (Field Marketing) ที่ตอบโจทย์ทุกกิจกรรมทางการตลาดให้กับกลุ่มลูกค้าได้ครบทุกมิติ ตั้งแต่การเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ (Brand Awareness) การสร้างความเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้อุปโภคบริโภค (Customer Engagement) ตลอดจนการผลักดันยอดขาย (Boost Sales) ภายใต้การให้บริการ

1.บริการจัดกิจกรรมทางการตลาดและดิจิทัล (Marketing activities and Digital) โดยมุ่งเน้นให้ผู้บริโภครับรู้ถึงสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของลูกค้า ผ่านกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ เช่น การจัดตั้งบูธสินค้า และการจัดโรดโชว์สินค้า (Booth and Roadshow) และการจัดงานอิเว้นต์ (Event) เพื่อสนับสนุนการนำเสนอและสร้างการรับรู้ในสินค้า (Brand Awareness)

2.บริการบรรจุและจัดส่งสินค้า (Packing and Logistic) ให้บริการนำสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ส่งเสริมการขาย เช่น สินค้าตัวอย่าง สินค้าทดลอง และสื่อประชาสัมพันธ์ มาบรรจุลงบรรจุภัณฑ์และขนส่งสินค้าในรูปแบบพร้อมขายไปยังจุดจำหน่ายต่าง ๆ พร้อมทั้งบริการติดตั้งและการรื้อถอนบูธแสดงสินค้า

3.บริการพนักงานแนะนำสินค้า (Product Consultant) โดยแนะนำ ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสินค้า รวมถึงนำเสนอรายการส่งเสริมการขาย (Sales Promotion) เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจซื้อ และผลักดันยอดขายสินค้าให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยตั้งแต่ปี 2562 ถึง 30 มิถุนายน 2566 บริษัทฯ ได้ให้บริการพนักงานแนะนำสินค้าแก่ลูกค้าไปแล้วกว่า 109 บริษัท รวมเป็นแบรนด์สินค้ากว่า 133 เครื่องหมาย

และ 4. บริการจัดเรียงสินค้า (Merchandiser) ให้บริการพนักงานจัดเรียงสินค้า มีหน้าที่รับผิด ควบคุมดูแลสินค้าหน้าร้านให้เพียงพอต่อการขาย การตรวจสอบอายุของสินค้าหน้าร้าน การจัดเรียงสินค้าให้เป็นไป ตามมาตรฐาน โดยตั้งแต่ปี 2562 ถึง 30 มิถุนายน 2566 บริษัทฯ ได้ให้บริการจัดเรียงสินค้าแก่ลูกค้าไปแล้วกว่า 49 บริษัท รวมเป็นแบรนด์สินค้ากว่า 53 เครื่องหมาย

นอกจากนี้ MCA ยังมีฐานข้อมูลพนักงานผู้ให้บริการภายนอก (Outsource) มากกว่า 9,100 คน สำหรับการรองรับการให้บริการของธุรกิจ ซึ่งสามารถปฏิบัติงานได้ครอบคลุมทั่วประเทศ และมีประสบการณ์ในการให้บริการแก่ลูกค้าชั้นนำจากหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งแบรนด์สินค้าในประเทศและต่างประเทศมาเกือบ 20 ปี ซึ่งจากศักยภาพดังกล่าวเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ MCA ที่ก้าวเข้าสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำด้านบริการจัดกิจกรรมส่งเสริมทางการตลาดครบวงจรชั้นนำของประเทศไทย

นายภักดี เหล่างาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MCA เปิดเผยว่า บริษัทคาดจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 60 ล้านหุ้น และนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในไตรมาส 4/66 เพื่อเดินหน้าลุยขยายธุรกิจสู่การเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้า (Distributor) ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 15-20% สูงกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ประมาณ 7% ต่อปี และในไตรมาส 4/66 เป็นช่วง High season ของธุรกิจ

บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำในการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด และเป็นผู้ให้บริการจัดกิจกรรมส่งเสริมทางการตลาดที่ครบวงจร โดยธุรกิจหลักของบริษัทประกอบด้วย บริการจัดกิจกรรมทางการตลาดและดิจิทัล (Marketing activities and Digital) มีสัดส่วนรายได้ครึ่งปีแรก 39.30% บริการบรรจุและจัดส่งสินค้า (Packing and Logistics) สัดส่วนรายได้ 3.58% บริการพนักงานแนะนำสินค้า (Product Consultant) สัดส่วนรายได้ 22.13% บริการจัดเรียงสินค้า (Merchandiser) สัดส่วนรายได้ 34.78%

"หัวใจหลักที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจของ MCA คือ ความเชื่อใจ วัดผลได้ อย่างมืออาชีพ เพราะบริษัทฯเชื่อว่าระบบที่ดีจะสร้างผลงานที่มีคุณภาพ และทีมงานที่ดีจะสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือแรงขับเคลื่อนองค์กรสู่การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ในครั้งนี้ เพื่อยกระดับองค์กรสู่มาตรฐานสากล และสร้างมูลค่าเพิ่มการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต"

วัตถุประสงค์ในการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งรวมถึงการขยายธุรกิจสู่การดำเนินธุรกิจใหม่ ในการเข้าไปเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้า (Distributor) และรองรับการลงทุน ในสินทรัพย์ สำหรับการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายรูปแบบให้ครบทุกมิติมากขึ้น รวมทั้งเพื่อใช้ในการชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพความมั่นคงทางการเงินให้กับบริษัทฯ ในอนาคต

สำหรับโครงการต่อเนื่องในอนาคต โดยเฉพาะการดำเนินธุรกิจในเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้า (Distributor) นั้น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MCA กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ เล็งเห็นโอกาสการขยายธุรกิจใหม่ใน Distributor เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ประกอบการในธุรกิจจำนวนน้อยราย จึงมองว่าจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคตได้ โดยที่บริษัทจะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเจ้าของสินค้าและผู้อุปโภคบริโภค โดยจะได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับเจ้าของสินค้าวางกลยุทธ์ทางการตลาดตั้งแต่ต้นน้ำ (Product Introduction) จนถึงการที่สินค้าได้ไปอยู่ในมือผู้บริโภค (Off Take) การให้บริการดังกล่าวรวมไปถึงวางแผนสร้างการรับรู้ของแบรนด์ (Brand Awareness) การใช้ความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจบริการกิจกรรมทางการตลาด (Marketing Activation) รวมถึงความสามารถในการเข้าถึงช่องทางขายต่าง ๆ (Distribution Channel) ซึ่งจะทำให้สินค้าเข้าถึงผู้บริโภคในช่องทางที่มากขึ้น

บริษัทตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นสำหรับธุรกิจผู้จัดหน่ายสินค้า (Distributor) อยู่ที่ 5-15% จากแผนการให้บริการเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้า (Distributor) ใน 2 รูปแบบ ได้แก่ 1. รูปแบบ Agent มุ่งเน้นเกี่ยวกับกลยุทธ์และกระบวนการขายเป็นหลัก ซึ่งบริษัทฯดำเนินการในนามตัวแทนของลูกค้า ภายใต้การบริหารจัดการเพื่อให้สินค้าจัดจำหน่ายในช่องทางการจัดจำหน่ายต่าง ๆ เช่น ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) ร้านค้าปลีกแบบสมัยใหม่ (Modern Trade) และร้านสะดวกซื้อ (Convenience Store) โดยรายได้ที่บริษัทฯ ได้รับจะอยู่ในรูปแบบ Distribution Fee หรือ Distribution Commission คล้ายกับการค่าธรรมเนียมหรือค่านายหน้า และอัตราค่าตอบแทนที่เกี่ยวข้องจะถูกอ้างอิงกับยอดขายสินค้าเป็นหลัก ซึ่งบริษัทฯ สามารถขยายธุรกิจให้เติบโตได้ (Scale Up) ด้วยทรัพยากรรูปแบบคล้ายเดิม และสามารถก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ได้ในอนาคต

และ 2. รูปแบบ Principal เป็นการให้บริการแบบ Full Service โดยบริษัทฯ จะเป็นผู้บริหารจัดการคำสั่งซื้อจากร้านค้าจากช่องทางการจัดจำหน่ายต่าง ๆ เช่น ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม ร้านค้าปลีกแบบ และร้านสะดวกซื้อ โดยบริษัทฯ เป็นผู้สั่งซื้อสินค้าจากลูกค้า เข้ามาบริหารภายในคลังสินค้าของบริษัทฯ พร้อมทั้งเป็นผู้รับผิดชอบการกระจายสินค้าหรือส่งมอบสินค้าให้แก่ร้านค้าในแต่ละช่องทางการจัดจำหน่าย และรับชำระเงินจากการขายสินค้าในนามของบริษัทฯ อย่างไรก็ดีรูปแบบบริการดังกล่าว ต้องการเงินลงทุนสูงกว่าเมื่อเทียบกับบริการรูปแบบ Agent เนื่องจากบริษัทฯ ต้องซื้อสินค้าจากลูกค้า ซึ่งเป็นผู้ผลิตหรือเจ้าของแบรนด์สินค้า บริหารจัดการคลังสินค้า ส่งมอบสินค้า และรับชำระเงินจากการขายสินค้า ด้วยตนเอง เสมือนเป็นเจ้าของสินค้า แต่ทั้งนี้บริษัทฯ จะรับรู้รายได้ในการขายสินค้า และต้นทุนสินค้า ควบคู่กัน ดังนั้นการบริการรูปแบบ Principal บริษัทฯ สามารถสร้างอัตราผลกำไรได้เพิ่มขึ้นผ่านการบริหารจัดการกระบวนการของบริษัทฯ ที่มีประสิทธิภาพ ผนวกกับการเจรจาเงื่อนไขด้านราคาสินค้ากับผู้ผลิตหรือเจ้าของแบรนด์สินค้า ซึ่งจะสามารถก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ที่มีประสิทธิภาพได้

เนื่องด้วยแผนกลยุทธ์ที่มุ่งสู่ธุรกิจ Distributor ส่งผลให้ในไตรมาส 3/66 บริษัทฯ ได้รับโอกาสจากลูกค้ากลุ่มธุรกิจของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ ซึ่งเป็นลูกค้าปัจจุบันของบริษัทฯ ให้เริ่มดำเนินธุรกิจการเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้า (Distributor) รูปแบบ Principal ในโครงการนำร่อง (Pilot Project) จำนวน 1 โครงการ สำหรับสินค้า 7 แบรนด์ ขอบเขตการรับผิดชอบในการจัดจำหน่ายผ่านร้านค้าประเภทร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) 13 จังหวัดที่กระจายทุกพื้นที่ในประเทศไทย ทั้งนี้ บริษัทฯ เชื่อว่าโครงการนำร่องดังกล่าว จะช่วยผลักดันความสามารถในการดำเนินงานบริการเป็นผู้จัดจำหน่ายของบริษัทฯ ให้เพิ่มขึ้นในอนาคตจากการให้บริการได้ทั้งในรูปแบบ Agent และ Principal และพร้อมที่จะขยายขอบเขตการให้บริการไปยังช่องทางการจัดหน่ายรูปแบบอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น ร้านค้าปลีกแบบสมัยใหม่ (Modern Trade) และร้านสะดวกซื้อ (Convenience Store) เป็นต้น

อัตราการเติบโตของรายได้ของธุรกิจในงวด 6 แรกของปี 66 บริษัทมีรายได้จากการบริการรวม 210.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.91 ล้านบาท หรือ 16.72% (YoY) จากการเติบโตของทั้ง 4 กลุ่มบริการ และกำไรสุทธิ 12.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69.57% (YoY) เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการบริการจัดกิจกรรมทางการตลาดและดิจิทัล จากการจัดกิจกรรมทางการตลาดช่วงเทศกาลสำคัญช่วงต้นปีซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ขณะที่ปี 62-65 มีรายได้จากการบริการรวม 331.67 ล้านบาท 235.62 ล้านบาท 224.07 ล้านบาท 372.65 ล้านบาท ตามลำดับ สาเหตุปี 63-64 รายได้ลดลงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด แต่ในปี 65 รายได้กลับมาเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจจากการขยายธุรกิจบริการจัดเรียงสินค้า รูปแบบบริการแบบใช้ร่วมกัน และการฟื้นตัวของธุรกิจบริการจัดกิจกรรมทางการตลาดและดิจิทัล แต่ขณะเดียวกันบริษัทไม่มีผลขาดทุนในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยกำไรสุทธิเท่ากับ 53.56 ล้านบาท 0.73 ล้านบาท 2.74 ล้านบาท และ 16.51 ล้านบาท ตามลำดับ

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรของบริษัทให้ผู้ถือหุ้นเดิม ก่อนการเสนอขายหุ้น IPO เป็นจำนวน 15.05 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลภายในวันที่ 24 กันยายน 2566

นายภักดี กล่าวอีกว่า บริษัทหวังว่ารัฐบาลจะมีนโยบายสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกต่อการผลการดำเนินงานของบริษัทเนื่องจากธุรกิจของบริษัทเติบโตคู่ขนานไปกับการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ และสัดส่วนรายได้ของแต่ละธุรกิจของบริษัทจะปรับเปลี่ยนไปตามความต้องการของผู้บริโภคในตลาดนอกจากนี้ประเด็นนโยบายค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลที่อาจจะมีการปรับในอนาคต บริษัทได้จ่ายเงินให้แก่พนักงานผู้ให้บริการภายนอก (Outsource) มากกว่าค่าแรงขั้นต่ำในปัจจุบันอยู่แล้ว นโยบายดังกล่าวจึงไม่กระทบกับบริษัท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ