บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. แสนสิริ (SIRI) ที่ระดับ “BBB" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"
โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำตลาดคอนโดมิเนียม ตลอดจนตราสัญลักษณ์ที่เป็นที่ยอมรับในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัย และความสำเร็จจากการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมราคาสูง นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงการขยายตัวทางธุรกิจแบบก้าวกระโดดของบริษัทในช่วงที่ตลาดคอนโดมิเนียมมีแนวโน้มอุปทานสูงกว่าอุปสงค์ ตลอดจนการที่บริษัทมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงสามารถบริหารการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมให้เป็นไปตามแผนงาน และยังคาดว่าบริษัทจะเน้นการบริหารต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถหารายได้อื่น ตลอดจนได้รับประโยชน์จากมาตรการภาษีของภาครัฐเพื่อช่วยเสริมรายได้ที่ลดลงจากโครงการ “คอนโดวัน"
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทแสนสิริเป็นหนึ่งในผู้นำของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย ณ เดือนธันวาคม 2550 บริษัทมีโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมสำหรับขายจำนวน 50 โครงการ มูลค่ารวม 45,395 ล้านบาท โดยเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 47% คอนโดมิเนียม 42% และทาวน์เฮ้าส์ 11% ราคาขายเฉลี่ยของที่อยู่อาศัยโดยรวมลดลงเป็น 4.6 ล้านบาทต่อหน่วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์ของบริษัทที่หันไปเน้นตลาดที่อยู่อาศัยราคาปานกลางมากขึ้น ณ เดือนธันวาคม 2550 บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้ 17,180 ล้านบาท และมีมูลค่าโครงการในปัจจุบันพร้อมขายอีก 11,521 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 68% คอนโดมิเนียม 19% และทาวน์เฮ้าส์ 13% บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันจากการมีชื่อเสียงและการมีสินค้าที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้ซื้อ รวมทั้งกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่ง
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ในปี 2550 ผลการดำเนินงานจากการขายที่อยู่อาศัยของบริษัทแสนสิริยังคงดีอยู่ โดยยอดขายใหม่เพิ่มขึ้น 7% เป็น 17,461 ล้านบาท ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากผลการดำเนินงานของโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังคงแข็งแกร่ง โดยบริษัทประสบความสำเร็จในการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมราคาสูงซึ่งสามารถสร้างยอดขายได้มากถึง 10,099 ล้านบาทในปี 2550 อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าคู่แข่งรายอื่น บริษัทมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 10.2% ในปี 2550 โดยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 9.8% ในปีก่อน อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 2.4 เท่าในปี 2549 เป็น 3.3 เท่าในปี 2550 การชะลอแผนการเพิ่มทุนทำให้โครงสร้างทางการเงินของบริษัทยังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 46.1% ในเดือนธันวาคม 2549 เป็น 47.4% ในเดือนธันวาคม 2550 สืบเนื่องจากการมีค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัท ณ เดือนเมษายน 2551 บริษัทยังไม่สามารถโอนอาคารคอนโดมิเนียมโครงการ “คอนโดวัน" มูลค่า 5,000 ล้านบาทให้แก่ลูกค้าได้ ทั้งนี้ เนื่องจากอาคารดังกล่าวมีความสูงเกิน 23 เมตรซึ่งสูงเกินกว่าข้อกำหนดของกฎหมายควบคุมอาคาร ดังนั้นจึงทำให้ต้องมีการปรับลดความสูงของอาคาร ซึ่งจะส่งผลทำให้รายได้ของบริษัทลดลง 380 ล้านบาท และมีต้นทุนเพิ่มขึ้น 80 ล้านบาทจากการปรับปรุงอาคารดังกล่าว รวมทั้งมีค่าชดเชยจากความล่าช้าในการโอนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานราชการ ซึ่งบริษัทคาดว่าจะสามารถทยอยโอนห้องชุดในโครงการให้แก่ลูกค้าได้ภายในกลางปี 2551
ภาวะอุปสงค์ในตลาดที่อยู่อาศัยขึ้นอยู่กับแนวโน้มโดยรวมของภาวะเศรษฐกิจ ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าภาวะเศรษฐกิจไทยน่าจะมีอัตราการเติบโตในระดับปานกลางที่ 4.5%-5.5% ในปี 2551 อย่างไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลซึ่งได้แก่การลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะแก่ผู้ประกอบการและการลดค่าธรรมเนียมการโอนสำหรับผู้ซื้อบ้านและผู้ประกอบการน่าจะช่วยบรรเทาภาวะชะลอตัวของอุปสงค์ในตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และกระตุ้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้ในระดับหนึ่ง ทริสเรทติ้งกล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย นิศารัตน์ วิเชียรศรี/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--