นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ Chief Financial Officer บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมพร้อมเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 3 ชุด ประกอบด้วย
รุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย [3.55-3.70]% ต่อปี
รุ่นอายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย [3.80-3.95]% ต่อปี
และรุ่นอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย [4.20-4.40]% ต่อปี
โดยจะแจ้งอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนอีกครั้ง
ทั้งนี้ ช่วงที่ 1 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นผู้ถือหุ้นกู้ CPALL23OA คาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 9-11 ตุลาคม 2566 โดยผู้ถือหุ้นกู้ CPALL23OA สามารถจองซื้อได้ทั้ง 3 รุ่น สูงสุดรวมกันไม่เกินสิทธิของหุ้นกู้ CPALL23OA เดิมที่ถืออยู่ ผ่านธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด
สำหรับช่วงที่ 2 ผู้ลงทุนที่เป็นประชาชนทั่วไป คาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 26-27 และ 30 ตุลาคม 2566 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 7 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย และบล.เกียรตินาคินภัทร รวมถึงมีการขายผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet เพื่อเพิ่มความสะดวกและตอบโจทย์นักลงทุนยุคดิจิทัล อีกด้วย
บริษัทและหุ้นกู้ชุดดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2566 ที่ระดับ A+ แนวโน้ม "บวก" (Positive) ซึ่ะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจและการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ทั้งการเป็นผู้นำในธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อในประเทศไทย ลักษณะของธุรกิจค้าปลีกที่สามารถสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน การมีเครือข่ายสาขาที่แข็งแกร่งและครอบคลุมทั่วประเทศ และการมีธุรกิจสนับสนุนที่เข้มแข็ง รวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังรุกขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้าน คือ ประเทศกัมพูชา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน (สปป.) ลาว ได้อย่างมีศักยภาพ โดยล่าสุด "ซีพี ออลล์" ได้เปิดให้บริการร้านสะดวกซื้อ "เซเว่น อีเลฟเว่น" สาขาแรก ใน สปป.ลาว อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2566 ซึ่งได้รับกระแสตอบรับจากผู้บริโภคอย่างดียิ่ง ทั้งผู้บริโภคภายในประเทศ และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือน สปป.ลาว ซึ่งเพิ่มขึ้นตั้งแต่สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย กระตุ้นให้บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยคึกคักมากขึ้นด้วย
ณ สิ้นไตรมาส 2/66 บริษัทมีจำนวนร้านสาขาทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 14,215 สาขา มีรายได้รวม 112,118 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.3% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจากการบริโภคในประเทศเริ่มฟื้นตัว ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศเริ่มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่บริษัทยังคงเดินหน้ารักษาฐานลูกค้าเดิมและขยายฐานลูกค้าใหม่ ผ่านกลยุทธ์ O2O อาทิ 7Delivery และ All Online ซึ่งได้รับการตอบสนองจากลูกค้าเป็นอย่างดี
สำหรับเป้าหมายการขยายสาขาในปีนี้ บริษัทวางแผนที่จะพัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าและบริการ ทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงการขยายเครือข่ายร้านสาขาอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของชุมชน โดยวางแผนจะลงทุนเปิดร้านสาขาใหม่ในประเทศไทยอีกประมาณ 700 สาขา และมีเป้าหมายที่จะเปิดสาขาในประเทศกัมพูชาให้ครบ 100 สาขาภายในปีนี้