นางสาวออมสิน ศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.บียอนด์ (BYD) เปิดเผยว่า ปีหน้าแนวโน้มธุรกิจหลักทรัพย์ของบริษัทมีโอกาส Turnaround กลับมาเป็นที่ยอมรับและสร้างการเติบโตได้ ซึ่งคาดว่ามูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์จากนี้จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3/66 จะสูงกว่าไตรมาส 2/66 เนื่องจากปัจจัยการเมืองในประเทศชัดเจน เห็นทิศทางของนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ ในขณะที่ทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มชัดเจนขึ้น จึงคาดว่าจะมีเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นด้วย
ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าจะมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (Asset Under Advice: AUA) ธุรกิจบริหารจัดการความมั่งคั่ง Wealth Management อยู่ที่ 6,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมี AUA อยู่ที่ 3,978.04 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด 3 เท่าจากปี 65 ซึ่งอยู่ที่ 1,312 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นการบริหาร 3 ธุรกิจหลักได้แก่ กองทุนรวม 36% การลงทุนในตราสารหนี้หรือหุ้นกู้ 36% และกองทุนส่วนบุคคล 28%
ส่วนกลุ่มธุรกิจ บมจ.ไทย สมายล์ บัส (TSB) อยู่ในช่วงของการขยายการลงทุน จึงต้องรับรู้ค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น จึงต้องใช้ระยะเวลาสักระยะในการทำกำไร โดยในไตรมาส 2/66 บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนใน TSB 443.94 ล้านบาท แต่มั่นใจว่าแผนบรรจุรถบัสไฟฟ้าเพิ่มจากเดิม 1,800 คันปลายปีนี้ยังเป็นไปตามเป้าหรืออาจจะทำได้มากกว่าเป้าที่ตั้งไว้ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจากับซัพพลายเออร์
นอกจากนี้จากโครงสร้างของผู้ถือหุ้นที่บริษัทได้เข้าไปลงทุนในธุรกิจเดินรถผ่านบริษัทร่วมนั่นคือบมจ.เอซ อินคอร์ปอเรชั่น ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างใหม่
"ภาพรวมอุตสาหกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ในปัจจุบันอยู่ในช่วงยากลำบากต่อเนื่องตั้งแต่ประมาณ 2 ปี ตั้งแต่เกิดความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างยูเครน รัสเซีย จนมาถึงความชัดเจนด้านการเมืองในประเทศไทย และอัตราดอกเบี้ยที่สูงส่งผลกระทบต่อตลาดทุน อย่างไรก็ตามบริษัทมีการปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน ปรับระบบเทคโนโลยีในการคัดกรองหุ้น คัดเลือกทีมงานที่เข้ามาร่วมทีมเพื่อให้บริการลูกค้า ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าตลาดอยู่ในภาวะเปราะบางจากปัจจัยต่าง ๆ"นางสาวออมสิน กล่าว