สำหรับในช่วงครึ่งแรกของปี 66 โครงการภูมิภาคของบริษัทสามารถกวาดยอดขาย (Presale) แล้ว 7.78 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 65 โดยแบ่งเป็นยอดขายกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม 570 ล้านบาท เติบโต 72% และโครงการแนวราบ 7.21 พันล้านบาท เติบโต 6% หรือคิดเป็นสัดส่วนยอดขายที่มาจากตลาดภูมิภาคเท่ากับ 45%
ล่าสุดบริษัทได้ดึง "โบว์-เมลดา สุศรี" นั่งแท่นพรีเซ็นเตอร์คนแรกของศุภาลัย ถือเป็นกลยุทธ์ครั้งสำคัญของแบรนด์ เพื่อย้ำถึงจุดยืน "Standard ดี Quality เดียวกัน" โดย โบว์-เมลดา ไม่เพียงเป็นที่รู้จักและเข้าถึงคนไทยทุกเจเนอเรชันทั่วประเทศเท่านั้น แต่ยังมีตัวตนที่สะท้อนความเป็นกันเอง และไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายเป็นเอกลักษณ์
"ไฮไลท์ภายในงานเปิดแคมเปญ Standard ดี Quality เดียวกัน นอกจากการเปิดตัวโบว์-เมลดา สุศรี เป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรกของแบรนด์แล้ว ยังได้ชูมาตรฐานบ้าน SPALI ทั้งคุณภาพการก่อสร้าง และการบริการที่ดี สะท้อนแนวคิด Standard ดี Quality เดียวกัน ซึ่งเป็นจุดแข็งของบ้านของศุภาลัยที่ตอบโจทย์ทุกมิติของการใช้ชีวิตของคนในทุกจังหวัด พร้อมเปิดตัวผู้นำภูมิภาค ตอกย้ำการให้ความสำคัญในมาตรฐานบ้านทุกหลังเท่ากันทั่วประเทศ" นายไตรเตชะ กล่าว
นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร SPALI กล่าวว่า บริษัทยังคงเดินหน้าขยายโครงการในต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษ่ทลงทุนพัฒนาโครงการในหัวเมืองจังหวัดต่างๆรวมกว่า 30 จังหวัด ทั่วประเทศ รวม 161 โครงการ ซึ่งสามารถเป็นอันดับ 1 ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ที่มีส่วนแบ่งตลาด (Market share) มากที่สุด ซึ่งหลังจากนี้บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ๆในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 10%
การเปิดโครงการในต่างจังหวัดจะเน้นจังหวัดที่มีเศรษฐกิจขยายตัวดี เป็นแหล่งงาน หรือนิคมอุตสาหกรรม มีการท่องเที่ยว และเป็นแหล่งการศึกษา เป็นต้น ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพที่บริษัทจะเข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการ แต่อย่างไรก็ตามการพัฒนาโครงการต่างจังหวัดยังคงต้องมีคุณภาพเดียวกับโครงการในกรุงเทพฯ ซึ่งสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่เข้ามาซื้อโครงการของศุภาลัยในต่างจังหวัด โดยที่ศุภาลัยมีการควบคุมในเรื่องของผู้รับเหมาที่จะต้องมีมาตรฐานในการก่อสร้างตามมาตรฐานของบริษัทที่กำหนด
สำหรับมุมมองของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปัจจุบันถือว่าอาจจะมีการชะลอตัวไปบ้าง จากภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวน และกำลังซื้อที่ชะลอตัว ซึ่งมองว่าการที่จะกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ได้ดีที่สุดนั้นมองว่าภาครัฐจะต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตได้มากขึ้น เพื่อทำให้คนในประเทศมีรายได้เพิ่มขิน ส่งผลให้เศรษฐกิจเกิดการขับเคลื่อน มีการจับจ่ายใช้สอย และเกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทุกๆอุตสาหกรรมในประเทศ รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วย
ส่วนการให้ฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนนั้น มองว่าส่งผลบวกทางอ้อมแก่ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย แต่การที่จะทำให้คนต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยมากขึ้นนั้นจะต้องมีการดึงดูดบริษัทจากต่างชาติให้เขิมาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น เพื่อทำให้คนต่างชาติเข้ามาทำงานในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสร้างลูกค้าต่างชาติให้เข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยมากขึ้น
ด้านผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ในกรณีที่ภาครัฐจะมีการเก็บภาษีที่ดินเพิ่มเติม จะทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มมากขึ้นกว่าปัจจุบัน แต่ก็จะทำให้มีการเร่งระบายที่ดินออกมาจากกลุ่มที่มีการถือครองที่ดินที่จำนวนมากออกมาขายให้กับผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ทำให้ราคาขายที่ดินมีการแข่งขันออกมา ซึ่งทำให้ราคาที่ดินที่เสนอขายออกมาจะไม่เพิ่มสูงมาก ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่มีความสามารถในการซื้อที่ดินเข้ามารองรับการพัฒนาโครงการ
ส่วนการลงทุนในต่างประเทศของบริษัทยังคงเน้นการลงทุนในตออสเตรเลียเป็นหลัก ซึ่งในปี 67 พันธมิตรออสเตรเลียได้มีการชักชวนให้บริษัทลงทุนเพิ่มขึ้นในโครงการที่พัฒนาในออสเตรเลีย ซึ่งบริษัทก็ยังมองเห็นถึงโอกาสในการลงทุนในออสเตรเลียต่อเนื่อง แต่จะเริ่มขยับไปลงทุนในโครงการที่ขนาดใหญ่ขึ้นร่วมกับพันธมิตร โดยปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการในออสเตรเลียแล้ว 12 โครงการ
ขณะที่ความคืบหน้าโครงการศุภาลัย ลอฟท์ รัชดา-วงศ์สว่าง ที่อยู่ระหว่างข้อพิพาท ในเรื่องเหตุสร้างอาคารสูงเกินบังลม-บังแดด กระทบบ้านเรือนข้างเคียง ยังอยู่ระหว่างการกระบวนการของศาล ซึ่งทางบริษัทได้มีการชี้แจงข้อมูลและอธิบายข้อมูลต่างๆให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบเข้าใจ ซึ่งคาดหวังว่าข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจะสามารถคลี่คลาย