นางสาวดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุน (Head of Equities ? Thailand) บลจ.อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า อเบอร์ดีน มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังปรับตัวขึ้นต่อได้ใน 6-12 เดือนข้างหน้า จาก 4 ปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ 1.เศรษฐกิจที่คาดว่ายังเติบโตได้ดีจากแรงสนับสนุนของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคาดจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้แตะ 27-30 ล้านคน ผนวกกับการบริโภคในประเทศที่ยังเติบโตได้ดี แม้ส่งออกจะฟื้นตัวช้ากว่าคาด และขาดเม็ดเงินลงทุนจากรัฐบาลช่วงระหว่างเปลี่ยนผ่านรัฐบาล โดยคาดการณ์จีดีพีปีนี้ยังโตได้ 3.1% หลังจากได้รัฐบาลใหม่แล้ว
2. กำไรบริษัทจดทะเบียนในครึ่งปีหลังของปี 66 คาดว่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก โดยกลุ่มที่ยังมี upside potential ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร เครื่องดื่ม ค้าปลีก 3. นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะทยอยออกมา จะเริ่มส่งผลดีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนตั้งแต่ไตรมาส 4/66 เป็นต้นไปและ 4. Valuation หุ้นไทยยังถือว่าถูก ขณะที่ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทย เมื่อเทียบจากดัชนีไทยหุ้นตั้งแต่ต้นปี และย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 62 ยังเป็นประเทศที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุดในภูมิภาคนี้ จึงมองโอกาสที่เงินลงทุนจากต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาลงทุนในไทย
สำหรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย. 66 เป็นต้นมา เราเริ่มเห็นบางนโยบายที่ผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุม และน่าจะเริ่มเดินหน้าผลักดันนโยบายได้ทันที ดังนี้
นโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยว ยกเลิกการขอวีซ่าในการเดินทางเข้าประเทศไทย สำหรับประเทศจีนและคาซัคสถาน โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน ถึง 29 ก.พ. 67 และได้พูดคุยกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้ง ททท. ฝ่ายความมั่นคง และการท่าอากาศยาน เพื่อเตรียมพร้อมทุกภาคส่วนให้พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ซึ่งอเบอร์ดีนเราประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวทุก ๆ 1 ล้านคนที่เพิ่มขึ้นจะหนุน GDP โตประมาณ 0.3%
นโยบายลดค่าครองชีพให้กับประชาชน ทั้งลดค่าไฟฟ้า จาก 4.45 บาท เหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย ซึ่งจะเริ่มในรอบการชำระเงินเดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป คาดใช้งบประมาณ 3 หมื่นล้านบาท และลดราคาน้ำมันดีเซลให้ราคาต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตร โดยจะเริ่มได้ในวันที่ 20 ก.ย. 66 ถึง 31 ธ.ค. 66 ซึ่งคาดใช้งบประมาณอีก 1.5 หมื่นล้านบาท รวมทั้งสองส่วน คาดว่าจะช่วยทำให้เงินเฟ้อลดลง 0.2-0.3% และกรณี best case จะช่วยเพิ่ม GDP 0.2-0.3%
ขณะที่นโยบายแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ด้วยการพักชำระหนี้ให้เกษตรกร และ SME ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เป็นระยะ 3 ปี มองว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระของกลุ่มประชาชนที่ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ นอกจากนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ยืนยันว่า รัฐบาลไม่มีแผนเก็บภาษีขายหุ้นตลอดวาระ 4 ปี ส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนหุ้นไทย
ขณะเดียวกันยังคงมีนโยบายที่เรายังต้องติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น นโยบาย Digital wallet 10,000 บาท/คน อาจต้องใช้เวลา เนื่องจากรัฐบาลต้องจัดการเรื่องรายละเอียดโครงการ และระบบ wallet คาดจะเริ่มใช้จริงก่อนสงกรานต์ปีหน้า
ส่วนนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่าจะปรับขึ้นในอัตราเท่าไหร่ และจะปรับขึ้นเมื่อไหร่ ซึ่งเราคาดว่าหากจะมีการพิจารณาจริงก็น่าจะเป็นภายในปีหน้า มองการปรับขึ้นจะค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งหากปรับขึ้น 100 บาท คาดว่าจะส่งผลบวกสุทธิต่อ GDP ราว 0.7%
ขณะเดียวกันมองหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว ขนส่งและโลจิสติกส์ ค้าปลีก ธนาคารและการเงิน รวมถึงกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม
"อเบอร์ดีนมองหุ้นไทย downside risk ค่อนข้างจำกัด ขณะที่ upside ยังเปิดอยู่พอสมควร ประเมินกรอบดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 1,530-1,663 จุดและคาดการณ์ EPS Growth ของดัชนีหุ้นไทยปีนี้ -2% จากครึ่งปีแรก -25% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาด จึงมองครึ่งปีหลังนี้ต้องเห็นการเติบโตที่ดีกว่า โดยเฉพาะไตรมาส 4 มองกลุ่มธนาคาร, ค้าปลีก, ขนส่งและโลจิสติกส์, โรงแรม, ร้านอาหาร และอิเล็กทรอนิกส์ น่าจะเห็นการเติบโตดีต่อจนถึงปีหน้า" นางสาวดรุณรัตน์ กล่าว
สำหรับกองทุนหุ้นไทยของบลจ.อเบอร์ดีน แนะนำ "ซื้อ" กองทุน ABSM โอกาสเติบโตต่อกับหุ้นขนาดกลาง-เล็กในไทยที่มีศักยภาพเติบโตสูง พร้อมก้าวเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในอนาคต เน้นลงทุนใน 4 ธีม ได้แก่ Tourism, Health & Beauty, EV และ Eating & Dining โดยกองทุนบริหารจัดการในเชิงรุก ซึ่งในช่วงที่ตลาดปรับตัวลดลงมาก่อนหน้าผู้จัดการกองทุนได้มีการปรับพอร์ต เก็บหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูง ทั้งนี้คาดการณ์ EPS Growth 2023 ของพอร์ตเติบโต 55.3%
"ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาก่อนหน้านี้ ประกอบกับโอกาสการเติบโตในอนาคตของบริษัทที่ อเบอร์ดีน เลือกลงทุน ทำให้คาดการณ์ว่ายังมี Upside potential อยู่" นางสาวดรุณรัตน์ กล่าว