นางสาวดารบุษป์ ปภาพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเปิดให้จองซื้อกองทุนเปิดอีสท์สปริง US Double Structured Complex Return 1YC (ES-USDCR1YC) ระยะเวลาลงทุนประมาณ 1 ปี ซึ่งเป็นกองทุนที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการขาดทุนเงินลงทุน พร้อมเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากการลงทุนในสัญญาวอร์แรนท์ที่อ้างอิงกับราคา SPDR S&P500 ETF โดยเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งเดียวระหว่างวันนี้จนถึง 29 กันยายน 2566 ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท
กองทุนเปิดอีสท์สปริง US Double Structured Complex Return 1YC ซึ่งเป็นกองทุนรวมผสมประเภทที่มีการจ่ายผลตอบแทนซับซ้อน และมีสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน 79% โดยมีกลยุทธ์การลงทุนแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้และ/หรือเงินฝากและ/หรือตราสารเทียบเท่าเงินฝากทั้งในประเทศและ/หรือต่างประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) ประมาณ 98.58% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เงินลงทุนเติบโตเป็น 100% ของเงินลงทุนทั้งหมดเมื่อครบอายุโครงการ ซึ่งการลงทุนในส่วนนี้จะมีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) เต็มจำนวน
ส่วนที่ 2 กองทุนจะลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ประเภทสัญญาวอร์แรนท์ (Warrant) ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับราคา SPDR S&P500 ETF ซึ่งจะไม่ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับการลงทุนในสัญญาดังกล่าว โดยจะลงทุนประมาณ1.4-1.5%ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน (อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม) เพื่อเปิดโอกาสให้กองทุนสามารถแสวงหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากการจ่ายผลตอบแทนด้วยอัตราการมีส่วนร่วม (Participation Rate) 50% ของการเปลี่ยนแปลงของราคา SPDR S&P500 ETF โดยหากปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลง 15% เมื่อเทียบกับ ณ วันจดทะเบียนกองทุนซึ่งตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญา
"จุดเด่นของกองทุนนี้คือความเสี่ยงต่อเงินต้นต่ำมากเพราะลงทุนเฉพาะในพันธบัตรรัฐบาลไทย หรืออาจจะลงทุนเพิ่มในพันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศที่มีความน่าเชื่อถือ 2 อันดับแรก (International Rating) รวมถึงโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีจากวอร์แรนท์ หากราคา SPDR S&P500 ETF ปรับตัวขึ้นหรือลงไม่เกิน 15% ซึ่งเหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากโดยทั่วไป และต้องการลงทุนในระยะประมาณ 1 ปี" นางสาวดารบุษป์ กล่าว
พร้อมทั้งให้มุมมองการลงทุนว่า การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯในช่วงปลายปีนี้จนถึงปีหน้าถือว่าค่อนข้างมีความท้าทาย เนื่องจากมีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบที่อาจเข้ามา ประเด็นที่น่าสนใจและเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสที่จะเติบโตได้ ประเด็นหลักจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่สามารถมีแนวโน้มไม่เกิดภาวะถดถอย และสามารถ Soft Landing ได้ ขณะที่เงินเฟ้อค่อยๆลดลงอย่างช้า ๆ ขณะที่แนวโน้มทางเศรษฐกิจดังกล่าวส่งผลต่อการปรับประมาณกำไรของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เริ่มกลับมาเป็นบวกมากขึ้น โดยการเติบโตของกำไรบริษัทในดัชนี S&P500 ในปี 2024 ยังคาดการณ์เติบโตมากกว่า 10%
ขณะที่การดำเนินนโยบายการเงินจากการประชุม FOMC ในเดือนกันยายน ซึ่งล่าสุดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25-5.5% และทางเจอโรม พาวเวลล์ยังเปิดช่องในการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้อีก 1 ครั้งในปีนี้ หากประเมินจาก Dot Plot ถือว่าเป็นช่วงท้ายของวัฏจักรของการขึ้นดอกเบี้ย และโดยรวมถึงแม้จะมีปัจจัยบวกในตลาดหุ้นสหรัฐฯค่อนข้างเยอะ อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยลบที่ต้องติดตาม คือประเด็นเรื่องของปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯและจีนที่มีประเด็นและขยายวงกว้างไปถึงเรื่องของเทคโนโลยี รวมถึงเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับสูง อาจส่งผลต่อกำลังซื้อ และการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯได้ และหากไปดูระดับราคา (P/E) ที่ซื้อขายกันในปัจจุบัน ถือว่าอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งอาจทำให้เกิดความผันผวนได้หากเกิดประเด็นเชิงลบที่เข้ามากระทบ