บมจ.ช.การช่าง(CK) ประเมินปี 51 น่าจะได้งานใหม่กว่า 2 หมื่นล้านบาท จากงานทั้งหมดที่เข้าร่วมประมูลราว 1 แสนล้านบาท ซึ่งรวมถึงโครงการรถไฟฟ้าด้วย จากปัจจุบันที่บริษัทมีงานในมืออยู่แล้ว 2 หมื่นล้านบาท ส่วนในด้านยอดรับรูรายได้ในปีนี้คาดว่าจะไม่น้อยกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่ 1.34 หมื่นล้านบาท ซึ่งงานใหม่ที่มีทยอยเข้ามาน่าจะทำให้กำไรสุทธิของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 51-52 แม้ว่าต้นทุนวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น แต่บริษัทก็สามารถปรับค่าก่อสร้างขึ้นตามได้ มีเพียงงานเก่าที่ได้รับผลกระทบเล็กน้อย
นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ CK กล่าวว่า ใปนีนี้บริษัทจะเข้าประมูลงานไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงโครงการรถไฟฟ้า ซึ่งบริษัทเชื่อว่าน่าจะได้งานไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท
สำหรับงานสำคัญในปีนี้ ได้แก่ โครงการเขื่อนและโรงไฟฟ้าน้ำบาก 1 ในลาว กำลังผลิตไฟฟ้า 120 เมกะวัตต์ มูลค่า 1 หมื่นล้านบาทที่จะมีการเซ็นสัญญาสัมปทาน งานก่อสร้าง ขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) กู้เงินภายในปีนี้ พร้อมกันนั้นก็จะเดินหน้าโครงการน้ำบาก 2 ขนาด 30 เมกะวัตต์มูลค่าประมาณ 5 พันล้านบาท ดำเนินการภายใต้บริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำกัด (SEAN) โดย CK ถือหุ้นอยู่ 28%
ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง(บางซื่อ-รังสิต) สีม่วง ส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน และสายสีเขียว บริษัทจะเข้าร่วมประมูลครบทั้งหมด และมีโอกาสค่อนข้างสูง นอกจากนี้ยังมีงานรอเซ็นสัญญาที่บริษัทชนะประมูล เป็นงานบำบัดน้ำเสียของ กทม. มูลค่า 3.5 พันล้านบาท
ทั้งนี้ ปัจจุบัน CK มีงานในมือ (Backlog) อยู่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เพิ่มจากสิ้นปี 50 ที่มี 1.87 หมื่นล้านบาท
สำหรับราคาวัสดุก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้น นายปลิว ยอมรับว่า ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นแต่จะกระทบงานในมือปัจจุบัน แต่ไม่มากนัก และคงไม่กระทบงานใหม่เพราะบริษัทได้ปรับราคาตามต้นทุนไปแล้ว ส่วนกำไรขั้นต้นปีนี้จะมากกว่าปีก่อนที่มีอยู่ 8% รวมทั้ง คาดว่ากำไรสุทธิในปี 51-52 จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 14.5 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้จะได้ไม่น้อยกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท จากงานในมือที่เพิ่มขึ้น
"เราต้องเลือกงานที่มีความเสี่ยงพอที่รับได้ และมีผลตอบแทนที่ดี อย่างงานรถไฟฟ้าความเสียงแทบไม่มีแต่ผลตอบแทนก็คงไม่มาก ที่ผ่านมา บริษัทก็ไม่เข้าไปตัดราคาเพื่อได้งานมามากๆ งานก่อสร้างใหม่ก็เปลี่ยราคาใหม่ตาม cost และเรายังเก็บเกี่ยวจากบริษัทที่เราเข้าลงทุนทั้งทางด่วน รถไฟฟ้า น้ำประปา พลังงาน เราก็มั่นใจว่าในปี 51-52 บริษัทยังสามารถทำกำไรได้ดี" นายปลิว กล่าว
นอกจากนี้ ในไตรมาส 2/51 บริษัทจะบันทึกกำไรจากการขายหุ้น บมจ.น้ำประปาไทย (TTW) ในส่วนที่ CK ถืออยู่ในการขายหุ้น IPO จำนวน 143 ล้านหุ้น
นายปลิว กล่าวว่า CK มีงานในต่างประเทศที่รออยู่ เช่น ในสปป.ลาว ได้แก่ โครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ขนาด 1,200 เมกะวัตต์ บริษัทได้เข้าไปศึกษาโครงการ 3 ปีตั้งแต่ปีที่แล้ว , ในเวียดนาม เตรียมเข้าประมูลงานโครงการรถไฟฟ้า ทางด่วน ซึ่งบริษัทได้จัดตั้งบริษัทร่วมกับบริษัทท้องถิ่นไว้แล้ว โดยถือหุ้นฝ่ายละ 50%
ส่วนในอินเดีย บริษัทได้เข้าไปศึกษางานโครงการสาธารณูปโภค โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างสนามบินและทางด่วน โดยจะร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่น อาจถือหุ้นฝ่ายละครึ่ง หรือสัดส่วน 40-60 ทั้งนี้มองว่าอินเดียเป็นตลาดใหญ่ที่มีความต้องการก่อสร้างระบบพื้นฐานมาก
*คดีฟ้องเรียกเงินคืน กทพ. คาดสิ้นสุดปี 53 หรือ 54
ด้านนายอนุกูล ตันติมาสม์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานทรัพยากรมนุษย์ และบริหารทั่วไป CK เปิดเผยว่า บีบีซีดี ซึ่งเป็นกิจการร่วมทุนของ CK ฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายค่าโง่ทางด่วนจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.)จำนวน 6 พันล้านบาท บวกดอกเบี้ยย้อนหลังไปเมื่อเดือนก.พ.51 และคาดว่าคดีกว่าจะสิ้นสุดใช้เวลา 3 ปี หรือสิ้นสุดในปี 53 หรืออาจจะไปถึงปี 54
ปีที่แล้วศาลฎีกาได้มีคำตัดสินถึงที่สุดแล้ว ซึ่งบริษัทได้ตั้งสำรองตามสัดส่วนที่ถือหุ้นไว้ จำนวน 2.5 พันล้านบาท หากบริษัทชนะคดี ก็จะกลับมาเป็นกำไรกับบริษัท
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--