ส.นักวิเคราะห์ หั่นเป้า SET สิ้นปีเหลือ 1,606 จุด ชู ADVANC-AOT-BDMS-CPALL-TOP เด่น

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 2, 2023 16:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ส.นักวิเคราะห์ หั่นเป้า SET สิ้นปีเหลือ 1,606 จุด ชู ADVANC-AOT-BDMS-CPALL-TOP เด่น

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 26 สำนักเกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในไตรมาส 4 ปี 2566 คาดการณ์จุดสูงสุดของ SET Index ช่วง ต.ค.-ธ.ค.66 เฉลี่ยที่ระดับ 1,619 จุด ส่วนจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,468 จุด และเป้าหมายดัชนี ณ สิ้นปี 66 ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,606 จุด ลดลงจากระดับคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 1,630 จุด

นักวิเคราะห์แนะนำให้มีการกระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น

เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 14.80%

กองทุนตราสารหนี้ 21.20%

หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 25.68%

หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 24.12%

ทองคำหรือกองทุนทองคำ 7.7%

กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 6.5%

ด้านความเห็นต่อการลงทุนหุ้นต่างประเทศและกองทุนหุ้นต่างประเทศนั้น แนะนำให้ลงทุน กองทุนเทคโนโลยี กองทุนรวมกลุ่มประเทศอาเซียนจากศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง

สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจ ค้าปลีกพาณิชย์ การแพทย์ และการท่องเที่ยว นขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจ Finance (non-bank) ปิโตรเคมี โดยมีสมมติฐานหลัก ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของปีนี้ ปรับขึ้นจากจาก 80.53 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาเป็น 83.02 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ,คาดการณ์ การขยายตัวของ GDP ไทยปี 66 จากเดิมที่ 3.38% (ก.ค.66) ลดลงมาเหลือ 2.85% GDP ส่วนปี 67 มองเป็นบวกที่ 3.56%

Risk Free Rate ที่ใช้ในการประเมินมูลค่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.93% Risk Premium ของตลาดหุ้น เฉลี่ยอยู่ที่ 7.02%

สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางการลงทุนจนถึงสิ้นปี 2566 แบ่งเป็น ปัจจัยบวก ที่มีผู้โหวตมาเกินกว่า 50% ของผู้ตอบแบบสอบถาม นำมาโดยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 67 มีผู้ตอบแบบสำรวจ 100% เต็ม ปัจจัยรองลงมา ผู้ตอบ 81.48% โหวตให้เศรษฐกิจภายในประเทศ (ที่กำลังจะฟื้นตัว) ตามมาด้วย ปัจจัยทางการเมืองในประเทศ มีผู้ตอบ 73.08% และ Fund Flows จากต่างประเทศสู่ตลาดหุ้นไทย มีผู้ตอบ 57.69%

ส่วนปัจจัยด้านลบ นำมาจาก ปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศมีผู้ตอบ 80% รองลงมาคือเรื่องทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา มีผู้ตอบ 68% ตามมาด้วยปัจจัยด้านเศรษฐกิจของโลก มีผู้ตอบ 64% และทิศทางดอกเบี้ยในประเทศ มีผู้โหวต 60% ตามลำดับ

ด้านคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในปี 67 มีนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ถึง 77.28% ที่คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 2.50% รองลงมามี 9.09% ของผู้ตอบมองว่าจะลงไปที่ 2.25% แต่มีผู้ตอบ 9.09% เท่ากันมองสวนว่ายังจะขึ้นต่อไปที่ 2.75% และมีผู้ตอบ 4.55% มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นไปอยู่ที่ 3%

ทางด้านคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 66 ของตลาดเฉลี่ยที่ 89.04 บาท ปรับลดจากผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 93.21 บาทต่อหุ้น และครั้งนี้คาดการณ์ EPS Growth ของปี 66 อยู่ที่ 6.51% ส่วนปี 67 ขึ้นไปอยู่ที่ 99.47 บาท และคาดว่า EPS Growth ของปี 67 เฉลี่ยอยู่ที่ 12.03%

รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป พร้อมประเด็นหลักสนับสนุน มีดังนี้ (เรียงชื่อตามอักษรย่อ)

1. ADVANC โดยมองว่าแนวโน้มกำไรกลับมาเติบโตดีหลังการแข่งขันลดและได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจฟื้นตัว

2. AOT มองว่าได้ประโยชน์สูงสุดจากการเปิดประเทศ และจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ ดังนั้น คาดว่าจะมีผลประกอบการกำไรแบบเต็มปีในปี 2567

3. BDMS ได้ประโยชน์จากการเดินทางข้ามประเทศฟื้นตัวและการขยายตัวของคนไข้ทั้งในและต่างประเทศจากกลุ่มลูกค้าประกัน ประกันสังคม และต่างชาติ

4. CPALL คาดกำไรฟื้นตัวในไตรมาส 4/66 -2567 จากเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวและมาตรการกระตุ้นภาครัฐ

5. TOPปัจจัยสนับสนุนจากกำไรฟื้นตัวตามแนวโน้มค่าการกลั่นและราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น มองครึ่งปีหลังของปี 66 จะมีค่าการกลั่นเฉลี่ยยืนเหนือ 8 เหรียญ/บาร์เรล จากความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มสูงขึ้น อุปทานน้ำมันในตลาดโลกตึงตัว และได้แรงหนุนจากความคืบหน้าแผนเพิ่มประสิทธิภาพตอบโจทย์ตลาดในอนาคต

ขณะที่หุ้นควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ หุ้น DELTA เนื่องจาก ราคาเกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐานไปมาก (ข้อมูลวันที่ตอบแบบสอบถาม 21-27 ก.ย.66) และกลุ่มหุ้นที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาครัฐและต้นทุนพลังงาน

ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังรัฐบาลใหม่เกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ มีความคุ้มค่ากับผลกระทบทางงบประมาณ โดยส่วนใหญ่กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แยกเป็นการลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น Land Bridge ถัดมาคือด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจได้แก่ นโยบายกระตุ้นการลงทุนจากต่างประเทศ โปรโมตและกระตุ้นการท่องเที่ยวไทย ดึงเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาในอุตสาหกรรม New S Curve

และตามมาด้วย เสนอนโยบายช่วยเหลือภาคประชนได้แก่ เร่งพัฒนาแรงงานไทย กระตุ้นการจ้างงาน ลดการแจกเงินทั่วไป เพิ่มการแจกเงินเฉพาะกลุ่มรวมถึงช่วยเหลือภาระหนี้ของเกษตรกร ข้าราชการ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ