บมจ.ไทยออยล์ (TOP) โดดเด่นสุดในกลุ่มหุ้นโรงกลั่น Valuation ไม่แพง เทรดบน P/BV 0.7 เท่า และยังมีอัพไซด์หลังราคาหุ้นรับรู้ผลกระทบจากเหตุน้ำมันรั่วฯ ไปมากแล้ว เก็งผลการดำเนินงานไตรมาส 3/66 เติบโตจากค่ากลั่น (GRM) ที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง และ Stock Gain
ราคาหุ้น TOP ปิดวานนี้ 48.00 บาท ลดลง 1.75 บาท (-3.52%)
นายปรินทร์ นิกรกิตติโกศล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ชอบ TOP มากที่สุดในกลุ่มโรงกลั่น เนื่องจาก Valuation ไม่แพง จากเทรดบน P/BV ที่ 0.7 เท่า โดยให้ราคาเหมาะสมไว้ที่ 60 บาท ซึ่งจากราคาปัจจุบันถือว่ายังมีอัพไซด์
ขณะที่มองราคาหุ้นที่ย่อตัวลงมาก่อนหน้านี้ ได้สะท้อนปัจจัยลบจากเหตุน้ำมันรั่วไหลจากเรือบรรทุกน้ำมันขณะขนถ่ายน้ำมันดิบบริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเลหมายเลข 2 (SBM-2) ของโรงกลั่นไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ไปมากแล้ว และคาดว่า TOP จะมีค่าใช้จ่ายที่เกิดจากความเสียหายดังกล่าวไม่มาก เมื่อเทียบกับเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลของ PTTGC เมื่อปี 56 จำนวน 5.4 หมื่นลิตร มีค่าใช้จ่ายรวม 1.1 พันล้านบาท (ก่อนหักเงินเคลมประกันภัย) และ SPRC เมื่อปี 65 จำนวน 4.7 หมื่นลิตร มีค่าใช้จ่ายรวม 1.7 พันล้านบาท (ก่อนหักเงินเคลมประกันภัย)
เนื่องด้วยในจุดที่รั่วของ TOP อยู่บริเวณด้านบน ทำให้ควบคุมเหตุการณ์ได้ง่าย อีกทั้งเมื่อใช้ท่อส่งน้ำมันไม่ได้ ก็ใช้เรือเล็กเข้ามาขนส่งแทน ทำให้ประเมินว่าเหตุดังกล่าวจะกระทบต่อกำไรเพียง 250 ล้านบาท/เดือน และจะทยอยบันทึกเข้ามาในงบการเงินตั้งแต่ไตรมาส 3/66 เป็นต้นไป จึงไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงาน
และค่าการกลั่นที่เพิ่มสูงยังสามารถเข้ามากลบค่าใช้จ่ายฯ ได้ทั้งหมด โดยค่าการกลั่นในไตรมาส 3/66 ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 11-12 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ยังจะหนุนกำไรปกติโตแตะ 7,000-8,000 ล้านบาท ไม่นับรวมกำไรจากการสต็อกน้ำมัน (Stock Gain) เข้ามาอีก
ขณะที่ บล.ลิเบอเรเตอร์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/66 คาดขยายตัวได้โดดเด่นสุดในกลุ่มพลังงาน จากค่าการกลั่น (GRM) ยังทรงตัวในระดับสูงจากอุปทานน้ำมันในตลาดโลกที่ตึงตัว ขณะที่อุปสงค์น้ำมันสำเร็จรูปฟื้นตัวจากการเดินทางเพิ่มขึ้น และการหยุดซ่อมของโรงกลั่นขนาดใหญ่ หนุนให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ฟื้นตัว
สำหรับในปี 66 แม้คาดการดำเนินงานจะลดลง y-y จากฐานกำไรสูงปีก่อนหน้าที่ได้อานิสงส์จาก GRM ที่สูงกว่าปกติจากการเปิดเมือง ขณะที่อุปทานตึงตัวแต่คาดปีนี้สถานการณ์เริ่มกลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น แต่คาด GRM จะยังสูง ส่วนกลุ่มอะโรเมติกส์คาดว่าอุปทานใหม่ที่จะทยอยเพิ่มขึ้นยังเป็นปัจจัยกดดันต่อส่วนต่างราคาให้ปรับขึ้นได้จำกัด เช่นเดียวกับกลุ่มน้ำมันหล่อลื่นที่ได้รับผลจากการก่อสร้างที่ล่าช้าทำให้แนวโน้มการดำเนินงานปี 66 คาดกำไรสุทธิที่ 15,801 ล้านบาท -55% y-y กำไรที่ลดลงมาก ส่วนหนึ่งเพราะปีก่อนมีกำไรจากการขายเงินลงทุน GPSC
บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มค่าการกลั่น และคงประมาณการ GRM ของสิงคโปร์ไว้ที่ 7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในปี 66-68 เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันที่เติบโตต่อเนื่อง การเริ่มดำเนินการโรงกลั่นใหม่อย่างจำกัด และปริมาณผลิตภัณฑ์คงเหลือต่ำ ขณะที่โควตาการส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำมันของจีนที่เพิ่มขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้เป็น 12 ล้านตันไม่ได้เป็นปัญหาสำคัญ เนื่องจากยังคงอยู่ที่ระดับต่ำสุดของช่วงปกติที่ 10-20 ล้านตัน
นอกจากนี้ยังคาดว่า GRM จะยังดีต่อเนื่อง หนุนโดยการปิดซ่อมบำรุงตามฤดูกาลในช่วงเดือนก.ย.-ต.ค. ซึ่งจะจำกัดอุปทานของผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป
ด้านราคาหุ้น ยังคงมองว่า TOP มีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งในระยะยาว โดยได้แรงหนุนจากการอัพเกรดและขยายโรงกลั่น ซึ่งผลบวกส่วนใหญ่น่าจะเห็นได้ในปี 68 ที่บริษัทตั้งเป้ากำไรเติบโต 175% YoY จากฐานที่ต่ำในปี 67 นอกจากนี้ยังมองว่าราคาหุ้น TOP อยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยเทรดที่ P/BV ล่วงหน้าที่ 0.7 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 1.0 เท่าอย่างมาก
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) เคจีไอ ซื้อ 68.00 ยูโอบีฯ ซื้อ 68.00 หยวนต้า ซื้อ 60.00 ลิเบอเรเตอร์ ซื้อ 60.00 เมย์แบงก์ฯ ซื้อ 56.00 กสิกรไทย ซื้อ 55.50