โบรกเกอร์ให้แนวรับใหม่ของดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ที่ 1,400 จุด หลังจากสภาพการซื้อขายภายหลังได้รัฐบาลใหม่เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 66 ไม่ได้สดใสอย่างที่คาดไว้ จากสถานการณ์การเมืองที่เกิดความผันผวนหลังการเลือกตั้ง และความไม่แน่นอนของนโยบายที่เป็นความคาดหวังของประชาชน รวมถึงปัจจัยจากต่างประเทศที่เข้ามากดดันบรรยากาศการลงทุน ทำให้ SET ไหลลงต่อเนื่องจนหลุดทุกแนวรับ 1,500 จุด ไปที่แนวรับ 1,450 จุด และท้ายที่สุดก็ลงมาที่แนวรับ 1,430 จุด
*เงินดิจิทัล-เฟดตรึงดอกเบี้ยสูงนาน-บอนด์ยีลด์พุ่งฉุดตลาด
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวกับ "อินโฟเควสท์"ว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในภาวะขาลง โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 6 ต.ค.66 ดัชนี SET ติดลบไปแล้วถึง 14% เทียบกับ MSCI Asia (ex Japan) ติดลบ 4% ตลาดหุ้นไทย Underperform กว่าตลาดเอเชียอยู่ 10% ขณะที่เทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐ ตลาดหุ้นยุโรป ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 9% เมื่อดูโดยภาพรวมจากกราฟราคามีโอกาสเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นไทยจะถอยลงมาที่ 1,380-1,400 จุด แต่ยังเชื่อว่าจะไม่หลุดแนวรับนี้
ปัจจัยถ่วงตลาดหุ้นไทย ได้แก่ ความกังวลธนาคารกลางหสรัฐ(เฟด) จะคงดอกเบี้ยระดับสูงนาน ซึ่งปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอยู่ที่ 5.5% และหากปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในปีนี้จะเพิ่มเป็น 5.75% หลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาแข็งแกร่ง และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (Bond yield) ปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนปัจจัยในประเทศ ทั้งมาตรการแทรกแซงกลุ่มพลังงาน คือ การลดค่าไฟฟ้า และลดราคาน้ำมัน รวมถึงความไม่ชัดเจนของนโยบายสำคัญที่จะมากระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ เงินดิจิทัล ทำให้ตลาดเกิดความผันผวนตามประเด็นข่าวที่เกิดขึ้นรายวัน แต่คาดว่าภายในเดือนต.ค.-พ.ย.รายละเอียดของดิจิทัล วอลเล็ต น่าจะมีความชัดเจนออกมา จากนั้นก็จะเกิดการ Buy on Fact เข้ามา
รวมถึงการปรับฐานของราคาหุ้น บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) (DELTA) ก็มีส่วนฉุดภาพรวมดัชนีลงไปราว 30 จุด หลังมีรายการบิ๊กล็อตเข้ามาเพื่อเพิ่มฟรีโฟลต
นายณัฐพล กล่าวว่า เงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) ก็ยังมีโอกาสไหลออกต่อเนื่องตราบใดที่เงินบาทยังอ่อนค่ามากกว่าสกุลอื่นในภูมิภาค แต่เมื่อนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยออกไปตั้งแต่ต้นปีจนถึง 6 ต.ค.66 ไปแล้วถึง 1.7 แสนล้านบาท จากปีก่อนที่ซื้อ 2 แสนล้านบาท ก็ยังเหลืออยู่อีก 3 หมื่นล้านบาท ถือว่าไม่ได้มากแล้ว แต่หากค่าเงินบาทแนวโน้มอ่อนค่าไปอีกก็มีโอกาสที่จะขายต่อได้อีก เว้นแต่หากนโยบายเงินดิจิทัลมีความชัดเจนก็คาดว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามา
และ ขณะนี้ยังเกิดปัจจัยใหม่เข้ามาที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด คือ ประเด็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในดินแดนอิสราเอลและตะวันออกกลาง นอกเหนือกจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ และปลายปีมองว่าความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐอาจจะปะทุขึ้นมาอีก เพราะช่วงกลางเดือน ม.ค.67 ไต้หวันจะจัดเลือกตั้งใหญ่ เชื่อว่าจะมีสงครามจิตวิทยาให้เห็นผ่านผู้ที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง
ส่วนในปีหน้าหลายฝ่ายคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวชัดขึ้น รวมถึงการเมืองในประเทศจะมีประเด็นให้ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดด้วย
*ลุ้น 2 เดือนสุดท้ายปีนี้ ดัชนี SET ดีดกลับ 100-150 จุด
นายณัฐพล กล่าวว่า แม้ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน แต่ปัจจุบัน SET ถือว่า Underperform ตลาดเอเชียค่อนข้างมาก และเชื่อว่าหากนโยบายแจกเงินดิจิทัลมีความชัดเจน ก็อาจลดสถานะ Underperform ลง รวมทั้งมีโอกาสจะได้รับปัจจัยบวกจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3/66 ที่น่าจะออกมาดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง น่าจะมี Positive Surprise ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้คาดหวังผลประกอบการไตรมาส 3/66 มากนัก ดังนั้น หากเกิดขึ้นก็มองว่าน่าจะเห็นแรงเก็งกำไรของต่างชาติกลับเข้ามา
ดังนั้น ทิศทางตลาดหุ้นในไตรมาส 4/66 อาจจะเห็นอาการ SET อ่อนเปลี้ยบ้างในช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือน ต.ค.มาที่ใกล้ๆ 1,400 จุด แต่หลังจากนั้นครึ่งหลังของเดือนเชื่อว่าตลาดจะเล่นเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 3/66 และความชัดเจนของนโยบายเงินดิจิทัล รวมไปถึง 31 ต.ค.-1 พ.ย.จะมีการประชุมเฟดเชื่อว่าคงเห็นความชัดเจนของทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ ซึ่งตลาดคาดว่าน่าจะคงดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิม
นายณัฐพล กล่าวว่า หลังจากเดือน ต.ค.ผ่านไปแล้วคาดว่าดัชนี SET จะเด้งขึ้นมา และ อาจเห็นดัชนี SET ปิดสิ้นปีนี้ที่ 1,550 จุด โค้งสุดท้ายอาจได้เห็น SET ดีดกลับขึ้นมา 100-150 จุดจากระดับในปัจจุบัน
"ถ้าไปดูสถิติที่ผ่านมาก็ Support ด้วยว่าในเดือน ต.ค.-พ.ย.ตลาดหุ้นไทยมักให้ผลตอบแทนเป็นบวก สถิติความน่าจะเป็นค่อนข้างสูง ผมจึงคิดว่าตอนนี้ลงก่อน คือ กบ จะกระโดดต้องย่อก่อน ถ้าอย่างนี้ กลยุทธ์คือ หากลงมา 1,400 จุดบวก-ลบ เลือกซื้อหุ้นที่ผลประกอบการไตรมาส 3 จะออกมาสวยและเก็งกำไร เล่นอย่างนี้พอได้"
แนะนำลงทุนหุ้นที่คาดงบไตรมาส 3/66 ออกมาดี 1) กลุ่มพลังงานต้นน้ำ PTTEP, BANPU กลุ่มโรงกลั่น TOP , SPRC 2)กลุ่มธนาคาร BBL, SCB 3) กลุ่มการแพทย์ BCH, EKH 4) กลุ่มค้าปลีก CPALL, CPAXT
สำหรับในปี 67 บล.หยวนต้า ให้เป้า SET Index ไว้ที่ 1,760 จุด โดยมองว่าการนำงบประมาณมาใช้จ่ายได้เต็มที่จากที่ต้องเลื่อนออกไปในช่วงต้นปีงบประมาณเพื่อรอรัฐบาลใหม่ จะทำให้ GDP ในปี 67 เติบโตได้ดีขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่า GDP จะโตไม่ถึง 3% ซึ่งเมื่อดูจากสถิติปีไหนที่ SET ปรับตัวลงแรงปีถัดไปก็จะดีดกลับขึ้นไปครึ่งหนึ่ง
พร้อมแนะลงทุนระยะกลางถึงยาวในกลุ่มโรงไฟฟ้า และกอง REIT ที่ปรับตัวลงมามากแล้ว
https://youtu.be/1rtlveOqEv0