ทริสคงอันดับเครดิตองค์กร-ห้นกู้ IVL ที่ "AA-" แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Sunday October 15, 2023 16:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ. อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) ที่ระดับ "AA-" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนของบริษัทที่ระดับ "A" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" ทั้งนี้ อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะผู้นำในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ของบริษัท ตลอดจนความได้เปรียบในการแข่งขันจากการมีระบบการผลิตที่ครบวงจร (Vertical Integration) การมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมทั้งการมีฐานการผลิตและฐานลูกค้าที่กระจายตัวอยู่ใน 6 ทวีปทั่วโลก นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความสามารถและประสบการณ์ของคณะผู้บริหารของบริษัท รวมทั้งการที่บริษัทสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญในอุตสาหกรรมอีกด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีด้วยเช่นกัน

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

  • สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง

ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งซึ่งสะท้อนถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการมีขอบเขตธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ มีระบบการผลิตที่ครบวงจร และมีฐานการผลิตและฐานลูกค้าที่กระจายตัว บริษัทมีกำลังการผลิตประมาณ 19.5 ล้านตันต่อปี ณ เดือนมิถุนายน 2566 โดยผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทอยู่ในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ตั้งแต่วัตถุดิบตั้งต้น (ได้แก่ Paraxylene ? PX รวมถึง Purified Terephthalic Acid -- PTA และ Monoethylene Glycol -- MEG) ไปจนถึงผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ (ได้แก่ Polyethylene Terephthalate หรือพลาสติก PET รวมถึงเส้นใยและด้าย เคมีภัณฑ์อื่น ๆ และบรรจุภัณฑ์) ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้ผลิตพลาสติก PET แบบบูรณาการ (Combined PET) รายใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ ในระหว่างปี 2563-2565 บริษัทยังได้ขยายขอบเขตการดำเนินงานจากการผลิตแค่เพียง Ethylene Oxide/Glycol ไปสู่กลุ่มธุรกิจ Integrated Oxide and Derivatives (IOD) อีกด้วย ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่ามากขึ้นให้แก่กลุ่มลูกค้าปัจจุบันของบริษัท

การเป็นผู้ผลิตแบบบูรณาการทำให้บริษัทอยู่ในสถานะที่มีข้อได้เปรียบหลายประการไม่ว่าจะเป็นการมีต้นทุนที่แข่งขันได้ ตลอดจนการมีประสิทธิภาพในการผลิต การมีฐานการผลิตในหลากหลายภูมิภาค และการเข้าถึงตลาดที่กว้างขวางยิ่งขึ้น ปัจจุบันบริษัทมีฐานการผลิตอยู่ใน 35 ประเทศซึ่งครอบคลุม 6 ทวีป ได้แก่ ทวีปเอเชีย อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยุโรป แอฟริกา และออสเตรเลีย โดย ณ เดือนมิถุนายน 2566 บริษัทมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้นถึง 19.5 ล้านตันต่อปีซึ่งประกอบด้วยธุรกิจ Combined PET 67% ธุรกิจ IOD 21% และธุรกิจเส้นใยและด้าย 12%

  • สภาพแวดล้อมอุตสาหกรรมที่ท้าทาย

อุตสาหกรรมปิโตรเคมีคาดว่าจะยังคงได้รับแรงกดดันอยู่ในปี 2566-2567 จากราคาน้ำมันที่ทยอยลดลงร่วมกับสถานการณ์การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chian Disruption) ที่คลี่คลายตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 ส่งผลให้เกิดการลดระดับสินค้าคงคลังจากระดับสูง (Destocking) ทั่วทั้งห่วงโซ่เคมีภัณฑ์ การลดระดับสินค้าคงคลังส่งผลต่อปริมาณและส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ ปิโตรเคมีเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อและราคาพลังงานที่สูงในยุโรปส่งผลให้บริษัทเคมีภัณฑ์ในยุโรปส่วนใหญ่ขาดทุน

กำไรของบริษัทเมื่อพิจารณาจากกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายหลัก (Core EBITDA) ต่อตันการผลิตนั้น ลดลงมาที่ 155 ดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับปี 2565 จากระดับสูงสุดที่ 184 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศจีนที่ช้ากว่าคาด ร่วมกับกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มเข้ามา ส่งผลกดดันต่อส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ในเอเซียสำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2566 โดย Core EBITDA ต่อตันของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 102 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันสำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2566

ปริมาณการจำหน่ายของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 14.6 ล้านตันในปี 2565 ต่ำกว่า 14.7 ล้านตันในปี 2564 เล็กน้อย การ Destocking ยังคงส่งผลต่อปริมาณการจำหน่ายของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 โดยปริมาณการจำหน่ายลดลง 7.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเหลือ 7.0 ล้านตันในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 อย่างไรก็ตาม กำไรโดยรวมของบริษัทได้รับการชดเชยบางส่วนจากการดำเนินงานในสหรัฐอเมริกาที่ยังคงมีอุปสงค์และมีต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำกว่า สำหรับ 6 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทมี EBITDA ประมาณ 2.13 หมื่นล้านบาท ลดลง 63% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 ซึ่งเป็นช่วงที่สูงผิดปกติ

ทริสเรทติ้งมองว่าความท้าทายต่าง ๆ น่าจะยังคงอยู่ในปี 2567 อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจาก Destocking คาดว่าจะบรรเทาได้ภายในปี 2566 ซึ่งจะช่วยให้บริษัททยอยเพิ่มกำลังการผลิตได้เนื่องจากผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของบริษัทเกี่ยวข้องกับสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Product) ซึ่งมีอุปสงค์ที่ยืดหยุ่น ทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองอย่างระมัดระวังว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวในช่วงปี 2566-2567 ซึ่งอาจกดดันส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีต่อไป

  • มุ่งเน้นการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพของสินทรัพย์

บริษัทมีแผนจะดำรงเงินสดและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่สถานะทางการเงินในช่วงที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีชะลอตัว โดยบริษัทประกาศลดค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนประมาณ 100-140 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับปี 2566 และบริษัทยังชะลอการลงทุนในโครงการ Corpus Christi ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนได้ประมาณ 100-130 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2567 นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะเพิ่มประสิทธิภาพสินทรัพย์ของบริษัทซึ่งอาจจะหยุดดำเนินงานชั่วคราวสำหรับโรงงานบางแห่งในยุโรปและให้โรงงานที่มีต้นทุนต่ำดำเนินงานอย่างเต็มที่ บริษัทมีแผนจะย้ายการผลิตบางส่วนจากยุโรปมายังเอเซียซึ่งมีต้นทุนวัตถุดิบ ค่าแรง และค่าสาธารณูปโภคที่ต่ำกว่า ซึ่งคาดว่าจะสามารถช่วยลดต้นทุนคงที่และเพิ่มอัตราการผลิตได้

บริษัทยังคงดำเนินการปรับปรุงคุณภาพการทำกำไรภายใต้โครงการ Olympus ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2563 โดยโครงการนี้มุ่งเน้นที่จะเพิ่มการใช้กำลังการผลิตและเพิ่มเสถียรภาพในการผลิตของแต่ละโรงงาน ตลอดจนการบริหารจัดการระดับสินค้าคงคลังให้เหมาะสมโดยผ่านการบริหารห่วงโซ่อุปทานไปจนถึงการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น รวมถึงใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการตลาดที่มีอยู่ทั่วโลกในการจัดจำหน่าย ทั้งนี้ ณ เดือนมิถุนายน 2566 บริษัทประมาณการว่าจะทำให้มีต้นทุนโดยรวมลดลงต่อเนื่องจำนวน 481 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากโครงการนี้ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายว่าจะมีต้นทุนลดลงต่อเนื่องและยั่งยืนถึง 637 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในสิ้นปี 2567

  • เดินหน้าสู่ความยั่งยืนทางธุรกิจ

ความยั่งยืน (Sustainability) เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญของบริษัท เนื่องจากพลาสติก PET นั้นเป็นวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ (รีไซเคิล) ได้เต็ม 100% บริษัทจึงมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) หรือในภาคการผลิตพลาสติกครบวงจรแบบยั่งยืน ทั้งนี้ บริษัทได้เข้าสู่ธุรกิจรีไซเคิลมาตั้งแต่ปี 2554 เมื่อครั้งที่บริษัทซื้อกิจการของ Wellman International (Wellman) ในทวีปยุโรป นับจากนั้นมาบริษัทก็ได้ดำเนินการรีไซเคิลขวด PET รวมถึงการผลิตเกล็ด PET รีไซเคิลเพื่อนำไปใช้ในการผลิตเส้นใยและแผ่นพลาสติกรวมถึงผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ บริษัทยังได้นำองค์ความรู้จาก Wellman มาใช้ในการขยายกำลังการผลิตที่โรงงานของบริษัทในประเทศเม็กซิโก สหรัฐฯ ไทย อินโดนีเซียฟิลิปปินส์, บราซิล และในยุโรปอีกด้วย ปัจจุบันบริษัทสามารถนำเกล็ด PET รีไซเคิลมาใช้ในกระบวนการ Polymerization ได้ตามความต้องการของลูกค้า ในการนี้ บริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิต PET รีไซเคิลจากการเก็บรวบรวมขวดพลาสติก PET ที่ใช้แล้วให้ได้ถึง 750,000 ตันต่อปีภายในปี 2568 จากประมาณ 690,000 ตันต่อปี ในปี 2565

  • ผลกำไรน่าจะค่อย ๆ ฟื้นตัวในปี 2567-2568

ทริสเรทติ้งประมาณการว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะยังอ่อนแอในปี 2566 และจะค่อย ๆ ฟื้นตัวในปี 2567-2568 ทริสเรทติ้งคาดว่า Core EBITDA ต่อตันโดยรวมของบริษัทในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 จะอยู่ในระดับเดียวกับช่วงครึ่งแรกของปี 2566 โดยประมาณการว่า EBITDA ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 4.5-5.0 หมื่นล้านบาทในปี 2566 และจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 6.0-7.0 หมื่นล้านบาทในปี 2567-2568 EBITDA ที่เพิ่มขึ้น สะท้อนมุมมองของทริสเรทติ้งว่าผลกระทบจาก Destocking จะบรรเทาลงในปี 2567 ทำให้กำลังการผลิตของบริษัทจะกลับมาอยู่ในระดับปกติได้ในปี 2568 บริษัทมีแผนค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนรวมประมาณ 7.0-7.3 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2566-2568 ซึ่งประมาณ 3.7-4.0 หมื่นล้านบาทจะเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการซ่อมบำรุง และส่วนที่เหลือจะใช้สำหรับปรับปรุงและขยายกำลังการผลิต อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นชั่วคราวไปอยู่ในช่วง 5.0-5.5 เท่าในปี 2566 และปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ในช่วง 3.0-4.0 เท่าในปี 2567-2568

  • มีสภาพคล่องที่เพียงพอ

ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอสำหรับการชำระหนี้ที่จะครบกำหนด โดยในช่วงระยะเวลา 12 เดือนข้างหน้านี้บริษัทมีเงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระรวมทั้งสิ้นประมาณ 3.24 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทสามารถชำระคืนหนี้เงินกู้จำนวนนี้ได้โดยใช้เงินสดจำนวน 2.07 หมื่นล้านบาทที่มีอยู่ในมือ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 และเงินทุนจากการดำเนินงานอีกจำนวนประมาณ 3.5--4.0 หมื่นล้านบาทที่คาดว่าจะได้รับในช่วง 12 เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินกู้ยืมระยะสั้นที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 6.5 หมื่นล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2566 อีกด้วย

-โครงสร้างหนี้

ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 บริษัทมีภาระหนี้รวมที่จำนวน 2.7 แสนล้านบาท (รวมหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน) โดยหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนของบริษัทประกอบด้วยหนี้ที่มีหลักประกันจำนวน 4.19 หมื่นล้านบาทและหนี้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันอีกจำนวน 6.88 หมื่นล้านบาทซึ่งเป็นหนี้ของบริษัทย่อยของบริษัท ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้ทั้งหมดของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 42% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? Core EBITDA ต่อตันจะอยู่ระหว่าง 95-105 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566 และ 115--125 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2567 และ 130-140 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2568

? ปริมาณการจำหน่ายรวมจะอยู่ที่ประมาณ 14.0 ล้านตันต่อปีในปี 2566 และ 15.0-15.5 ล้านตันต่อปีในระหว่างปี 2567-2568

? งบลงทุนรวมจะอยู่ที่จำนวนประมาณ 7.0-7.3 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2566-2568

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถฟื้นผลการดำเนินงานได้ในช่วงประมาณการ การมีผลิตภัณฑ์ที่มีความจำเป็นในสัดส่วนสูงจะช่วยให้สามารถสนับสนุนอุปสงค์ในช่วงที่ตลาดอ่อนแอ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 3-4 เท่าได้ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตยังคงจำกัดในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้า ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจเกิดจากการมีผลกำไรที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งเป็นผลจากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีระยะเวลายาวนานกว่าที่คาด หรือบริษัทมีการซื้อกิจการขนาดใหญ่ด้วยการก่อหนี้ที่สูง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ