อย่างไรก็ตามเราเริ่มมองเห็นสัญญาณบวกของพัฒนาการด้านกฎเกณฑ์ที่ดีขึ้นและการเริ่มรับชำระหนี้ค่าจ้างการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ (E&M) คาดว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษากรณีสัญญาให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงส่วนต่อขยาย (O&M) ภายในอีกสองเดือนข้างหน้า ซึ่งพัฒนาการที่ดีขึ้นของความเสี่ยงทางด้านกฎเกณฑ์นั้นจะเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นราคาหุ้นในระยะสั้นสภากทม.เห็นชอบกรณีชำระหนี้ E&M อย่างเกินความคาดหมาย
ทั้งนี้เราได้รับข้อมูลว่าสภากทม. โหวตเห็นชอบการชำระหนี้ E&M มูลค่า 2.3 หมื่นล้านบาท (รวมดอกเบี้ย) คืนให้กับ BTS เป็นที่เรียบร้อย สำหรับค่าจ้างการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณของรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2566 โดยในขั้นตอนถัดไปจะมีการทำหนังสือแจ้งกระทรวงมหาดไทยเรื่องการอนุมัติชำระหนี้ และเรายังได้รับข้อมูลเพิ่มเติมว่ากทม.ได้มีการร้องของบประมาณสนับสนุนในการชำระหนี้ E&M จากกระทรวงฯ ให้กับ BTS แต่หากกระทรวงฯ ไม่อนุมัติทางกทม. ก็จะพิจารณาจัดสรรงบประมาณชำระหนี้ต่อไป ซึ่งเราได้มีโอกาสสอบถามกับทางบริษัทและได้รับข้อมูลว่า จะใช้เวลาประมาณ 1 เดือนในการดำเนินกระบวนการต่างๆก่อนเริ่มชำระหนี้ซึ่งนับตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม และครบระยะเวลาในวันที่ 4 พฤศจิกายนของปีนี้
การแก้ปัญหาด้านกฎเกณฑ์จะเป็นแรงยกระดับงบดุลและกระแสเงินสด พัฒนาการเชิงบวกของ BTS และแน่นอนว่าพัฒนาการที่ดีขึ้นของกฎเกณฑ์ต่างๆ จะเป็นแรงสนับสนุนเชิงบวกต่อกระแสเงินสดและงบแสดงฐานะการเงิน (งบดุล) ของ BTS แต่ไม่ใช่กับงบกำไรขาดทุน เพราะว่า BTS มีการบันทึกรายได้ E&M อยู่ในเกณฑ์ค้างรับแต่ว่าการก่อสร้างนั้นได้แล้วเสร็จไปตั้งแต่ปี 2560 จากการคำนวณของเราหาก BTS นำเงินไปชำระหนี้ต่อจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) จะลดลงมาอยู่ที่ 1.16 เท่า จาก 1.45 เท่า (ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566)
นอกเหนือจากกรณีของ E&M นั้นเรายังเชื่อว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษากรณีข้อพิพาท O&M ภายในปีนี้ อ้างอิงจากความเห็นของคณะกรรมการตุลาการเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2566 ยืนตามศาลปกครองให้กทม. และ บริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัดชำระหนี้ค่าบริการเดินรถและซ่อมบำรุงจำนวน 1.17 หมื่นล้านบาทให้กับ BTS
ขณะที่เรายังมองไม่เห็นการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของกำไรในอีก 2 ไตรมาสข้างหน้า ซึ่งการความกังวลด้านกฎเกณฑ์ที่ผ่อนคลายลงจะเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นราคาหุ้นได้