นายพงศ์พจน์ เลิศรุ้งพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดีเฮ้าส์พัฒนา (DHOUSE) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ มีประกัน ครั้งที่ 1/2566 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2568 ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 7.50% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ จำนวนเสนอขายไม่เกิน 130,000 หน่วย มูลค่าที่ตราไว้หน่วยละ 1,000 บาท ราคาที่เสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท คิดเป็นมูลค่าเสนอขายไม่เกิน 130 ล้านบาท โดยจะจัดจำหน่ายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่
ทั้งนี้ บริษัทมีหลักประกัน เป็นการจำนองที่ดินจำนวน 4 แปลง เนื้อที่ดินรวม 14-3-11.7ไร่ ตั้งอยู่ที่ จ.มหาสารคาม มูลค่าประเมินรวม 195.09 ล้านบาท โดยเป็นที่ดินไม่ติดจำนองและไม่มีภาระผูกพัน ซึ่งเป็นที่ดินกลางเมืองที่มีศักยภาพสูง เนื่องจากภายในรัศมี 3 ก.ม. จากที่แปลงนี้ ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, มหาวิทาลัยกีฬาแห่งชาติมหาสารคาม, โรงพยาบาลสุทธาเวช, ห้างแม็คโคร, ห้างไทยวัสดุ, ห้างเสริมไทย คอมเพล็กซ์, โชว์รูม ฮอนด้า, โชว์รูมบีวายดี, โชว์รูมคูโบต้า, หมู้บ้านสิวลี
สำหรับวัตถุประสงค์การออกและเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ เพื่อเป็นเงินลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 80 ล้านบาท และเป็นเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 50 ล้านบาท
หุ้นกู้ DHOUSE จะเสนอขายระหว่างวันที่ 31 ต.ค. และ 1-2 พ.ย. 2566 จองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และ ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ซึ่งมี บล.ดาโอ (ประเทศไทย) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้
DHOUSE ถือเป็นบริษัทที่มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากมีเงินกู้สถาบันการเงินและบุคคลภายนอกเพียง 172.34 ล้านบาท แต่มีทรัพย์สิน 744.03 ล้านบาท และยังมีหนี้สินระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระภายใน 1 ปี เพียง 6.77 ล้านบาทเท่านั้น รวมถึงบริษัทจะได้บริษัท แอสเซท กรุ๊ป ขอนแก่น จำกัด (AGKK) เข้ามาเป็นบริษัทย่อย ซึ่งมีที่ดินถึงเกือบ 300 ไร่ และไม่มีหนี้สิน ส่งผลให้ DHOUSE จะมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก
บริษัทมีแผนป้องกันความเสี่ยงของธุรกิจ โดยในปี 66 บริษัทมีรายได้ที่เติบโตขึ้นจากการให้บริการสถานีน้ำมัน และการให้บริการพื้นที่เช่าภายในสถานีน้ำมัน เพื่อกระจายความเสี่ยงการพึ่งพิงรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เพียงอย่างเดียว ซึ่งบริษัทคาดการณ์ว่าจะสามารถมีรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึง บริษัทมีแผนที่จะก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ ในราคาที่สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายโครงการ UPark Home ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทมีประสบการณ์การพัฒนาโครงการในพื้นที่จังหวัดมหาสารคามทำให้มีความเชี่ยวชาญและ มีความน่าเชื่อถือด้วยความรู้ความเข้าใจในทำเลที่ตั้งของโครงการซึ่งจะสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ อีกทั้ง ในอนาคตบริษัทมีแผนที่จะขยายโครงการไปยังพื้นที่จังหวัดอื่นๆ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของโครงการในจังหวัดมหาสารคาม เริ่มจากจังหวัดขอนแก่น ที่เตรียมพัฒนาโครงการในปีหน้าหลังจากได้ AGKK เข้ามาเป็นบริษัทย่อย