บมจ.ปฐวิน (PTW) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 70 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 28% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมีบริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
กลุ่มบริษัทมีวัตถุประสงค์ในการระดมทุนเพื่อนำไปใช้ การลงทุนปรับปรุงโรงงานผลิตสินค้าเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต, ลงทุนซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับการให้บริการตรวจวิเคราะห์, ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
PTW ดำเนินธุรกิจรับจ้างผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องสำอาง ได้แก่ ทิชชู่เปียก ผ้าเย็น และเครื่องสำอางอื่น ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องมือแพทย์ และผลิตภัณฑ์อื่น ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยในครัวเรือน ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง และการให้บริการตรวจวิเคราะห์ แบบครบวงจร ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย และระบบการควบคุมคุณภาพตามมาตรฐานสากล รวมทั้ง ให้บริการทดสอบในห้องปฏิบัติการ และตรวจวิเคราะห์คุณภาพ ทางด้านจุลชีววิทยา เคมี และกายภาพ โดยที่ผ่านมาบริษัทได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์รวมถึงสูตรของสินค้าตามความต้องการของลูกค้ามากกว่า 2,000 รายการสินค้า
ปัจจุบัน บริษัทมีบริษัทย่อย 1 บริษัท ซึ่งถือหุ้น 99.96% ได้แก่ บริษัท พริสม่า กรุ๊ป จำกัด ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของบริษัท ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องมือแพทย์ และผลิตภัณฑ์อื่น เช่น ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยในครัวเรือน และผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง เป็นต้น
โดยการประกอบธุรกิจหลักของบริษัทและบริษัทย่อย (กลุ่มบริษัท) สามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
1. การผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องสำอาง ได้แก่ ทิชชู่เปียก, ผ้าเย็น, เครื่องสำอาง
2. การผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องมือแพทย์
3. การผลิตและการให้บริการอื่น เช่น ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยในครัวเรือน, ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง และ ให้บริการตรวจวิเคราะห์
กลุ่มบริษัทมีการให้บริการสำหรับการรับจ้างผลิตสินค้าแบบครบวงจรเป็นหลัก ทั้งในรูปแบบรับจ้างผลิตสินค้าตามคำสั่งซื้อของลูกค้า (OEM) เพื่อนำไปจำหน่ายภายใต้ตราสินค้าของลูกค้าเอง รูปแบบการรับจ้างผลิตสินค้าที่มีการพัฒนาสูตรของสินค้าให้กับลูกค้า (ODM) รวมทั้ง กลุ่มบริษัทยังมีการต่อยอดความเชี่ยวชาญในการจัดทำผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของบริษัท (Own brand) ได้แก่ JASPER, Wibbie, Klearell, KleanSafe, EARTHs, PAWFECT และ Klean Action
กลุ่มลูกค้าแบ่งเป็น กลุ่มลูกค้าในประเทศ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) กลุ่มลูกค้าแบรนด์เครื่องสำอาง กลุ่มลูกค้าธุรกิจโรงแรมและบริการ กลุ่มลูกค้าธุรกิจร้านอาหาร กลุ่มลูกค้าธุรกิจสายการบิน กลุ่มผู้มีชื่อเสียง (Influencer) และกลุ่มลูกค้าทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการว่าจ้างผลิตผลิตภัณฑ์ (OEM/ODM)
ส่วนกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ เป็น กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเครื่องสำอางในต่างประเทศ ได้แก่ ลูกค้าที่จดทะเบียนในต่างประเทศและนำสินค้าไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ อาทิ กลุ่มลูกค้าแบรนด์เครื่องสำอาง เช่น ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกาย ที่มีการวิจัยและพัฒนาสูตรร่วมกันกับกลุ่มบริษัทและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ต่างประเทศทั้งในทวีปยุโรป เช่น อังกฤษ และทวีปเอเชีย เช่น ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม เป็นต้น
ปัจจุบันบริษัทมีโรงงาน 2 แห่งใน จ.ปทุมธานี อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ราว 92.13% กลุ่มบริษัทจึงมีแผนการลงทุนเพื่อปรับปรุงโรงงาน รวมถึงการซื้อเครื่องจักรเพิ่มเติม ณ ที่ตั้งโรงงานแห่งที่ 2 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องสำอาง ได้แก่ ทิชชู่เปียก ผ้าเย็น และเครื่องสำอาง เนื่องจากมูลค่าตลาดเครื่องสำอางทั้งในประเทศและต่างประเทศมีแนวโน้มเติมโตอย่างต่อเนื่องทุกปี รวมทั้งพฤติกรรมและวิถีชีวิตของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป (New normal) โดยหันมาสนใจเรื่องสุขอนามัยมากขึ้น
ณ วันที่ 30 มิ.ย.66 บริษัทมีทุนจดทะเบียนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 90 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 180 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 0.50 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO จะมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 125 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 250 ล้านหุ้น โครงสร้างการถือหุ้น มี บริษัท ทาดิโอส จำกัด ถือหุ้น 70% หลัง IPO จะลดลงมาที่ 50.40% และกลุ่มครอบครัวปฐวินทรานนท์ ถือหุ้น 30% หลัง IPO จะลดเหลือ 21.60% ทั้งนี้ บริษัท ทาดิโอส จำกัด ประกอบธุรกิจเป็น Holding Company โดยมีกลุ่มครอบครัวปฐวินทรานนท์เป็นผู้ถือหุ้นรวมกัน 100%
ผลประกอบการช่วงปี 63-65 กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการ เท่ากับ 311.47 ล้านบาท 218.95 ล้านบาท และ 325.44 ล้านบาท 138.66 ล้านบาท ตามลำดับ กำไร (ขาดทุน) สุทธิ เท่ากับ 25.54 ล้านบาท (1.26) ล้านบาท และ 21.02 ล้านบาท ตามลำดับ
ส่วนงวด 6 เดือนแรกของปี 66 บริษัทมีรายได้ 179.71 ล้านบาท และ กำไรสุทธิ 9.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวด 6 เดือนแรกของปี 65 ที่มีรายได้ 138.66 ล้านบาท และ กำไรสุทธิ 6.54 ล้านบาท เนื่องจากกำไรขั้นต้นและอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้น จากยอดสั่งซื้อสินค้าที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และการบริหารจัดการต้นทุนสินค้าที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และทุนสำรองตามกฎหมายในแต่ละปี